แต่งชุดไทยย่องขโมยของในร้านซ่อมรถ จยย. ย่านประชาอุทิศ
วันที่ 7 กรกฎาคม 2565
เวลา 14.59 น.
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ ได้รับแจ้งมีเหตุคนร้ายก่อเหตุชิงทรัพย์ภายในร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ บริเวณปากซอย ประชาอุทิศ 12 แล้วมีพลเมืองดีพร้อมเจ้าทุกข์ช่วยกันจับกุมตัวเอาไว้ได้ จึงรีบรุดจัดกำลังเร่งรัดตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุพบเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ บ้านเลขที่ 482/1 ปากซอยประชาอุทิศ 12 ถนน ประชาอุทิศ แขวง ราษฎร์บูรณะ เขต ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร แล้วพบกับเจ้าของร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ทราบชื่อต่อมาชื่อนาย อาคม อายุ 44 ปี พร้อมทั้งผู้ต้องหาเป็นชาย 1 ราย อายุประมาณ 30-35 ปี แต่งกายชุดไทย และพบของกลางเป็นพาวเวอร์แบ้งค์ สีดำ 1 อัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าควบคุมตัวเอาไว้ก่อนแล้วนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ สน.ราษฎร์บูรณะ พร้อมทั้งเชิญตัวเจ้าของร้านซ่อมจักรยานยนต์ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ไปสอบถามเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จากการสอบถาม นาย อาคม กล่าวว่าตนเองเห็นชายผู้ก่อเหตุคนดังกล่าวยืนอยู่หน้าร้านของตนนานแล้วเห็นแต่งตัวแปลกๆก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วพอตนหันหลังชายคนดังกล่าวก็เดินเข้าไปหยิบพาวเวอร์แบ้งค์แล้วก็รีบวิ่งหนีออกมาจากร้านอย่างไวเลยตนเองก็รีบขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามจนจับตัวชายคนดังกล่าวเอาไว้ได้
แล้วจากการสอบถาม คุณปลา แม่ค้าขายกาแฟ อยู่ฝั่งตรงข้ามบอกเล่าว่าชายคนดังกล่าวชอบเดินร้องเพลง ในทำนองเพลงพื้นบ้านแล้วก็ชอบแต่งตัวชุดไทยเป็นประจำ ส่วนใหญ่จะเจอชายคนนี้ในช่วงวันเสาร์ กับ วันอาทิตย์ แล้วมีอยู่ช่วงพักหลังก็หายไปเลยพอมาเจอกันอีกทีก็ไปก่อเหตุการณ์ลักขโมยของเขาซะแล้ว ก็ไม่คิดว่าจะคิดสั้นแบบนี้เลย ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่เห็นจะมีพิษมีภัยกับใครเดินร้องเพลงอีแซวไปเรื่อยในมือก็จะถือกล่องบางทีก็ถือกระป๋อง ตนยังเคยให้ตังไปเลยบางทีก็ 20 บาท เขาก็เคยบอกอยู่ว่าเขาร้องเพลงอีแซวไม่เพราะแต่ใจมันรัก ตนก็รู้สึกขำแล้วก็คิดว่าเขาเป็นคนสติไม่ดี แต่ก็ไม่คิดว่าจะก่อเหตุการณ์แบบนี้ได้
เบื้องต้นจากการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดหน้าร้านดังกล่าวแล้วก็พบว่าพฤติการของชายผู้ก่อเหตุเป็นไปตามคำบอกเล่าของเจ้าทุกข์จริงแล้วกล้องวงจรปิดยังสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ส่วนทางเจ้าทุกข์เมื่อไปถึงสถานีตำรวจนครบาลราษฎร์บูรณะ แล้วได้เข้าไปพูดคุยกับทางผู้ก่อเหตุคนดังกล่าวต่อหน้าพนักงานสอบสวนแล้วก็รู้สึกสงสารแล้วก็ได้ทรัพย์สินคืนซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีความเสียหายอะไรก็เลยไม่ถือโทษจึงไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์กับผู้ก่อเหตุคนดังกล่าวแต่อย่างใด
โชติกา ม่วงใจรักษ์ ผู้สื่อข่าว กทม.