ร้องกฎหมาย เอาผิดหัวขโมยวัย 8 ขวบ หลังฉกเงิน 3 หมื่นบาท
วันที่ 6 ตุลาคม 2566
จากกรณี ผู้เสียหายโพสต์ลงโซเชียล ว่าโดนโจรเด็กอายุ 9 ปี บุกปีนบ้านตอนกลางคืน ขโมยเงินสดไป 33,400 บาท ตำรวจทำอะไรไม่ได้เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก โดยตำรวจบอกว่าเคสนี้ทำอะไรเด็กไม่ได้เพราะมีพรบ.คุ้มครองเด็กอยู่ ส่วนผู้ปกครองเด็กไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะตำรวจไม่มีหลักฐานสาวถึงตัวผู้ใหญ่ (มีแค่คำสารภาพจากเด็กว่ามีผู้ใหญ่พาไปขโมย) พ่อแม่เด็กเสนอชดใช้ให้(ตามจริยธรรม)เป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งพ่อแม่เด็กจ่ายให้แค่2000 บาท หลังจากนั้นก็ติดต่อพ่อแม่เด็กไม่ได้อีกเลย
ผู้เสียหายบอกว่า มีใบแจ้งความและใบข้อมูลคนร้ายครบ เเละโจรคนนี้เคยก่อคดีแล้วหลายครั้ง มากๆ กับบ้านในชุมชน และขโมยของ 7-11 หลายครั้งมากๆ แต่ทุกคดีก็รอดหมดเพราะตำรวจดำเนินคดีไม่ได้เพราะเป็นเด็ก
ล่าสุดวันนี้ 6 ตุลาคม 2566 ทีมข่าวได้เดินทางลงพื้นที่บริเวณชุมชน สาครปานสินธุ์ ซอย 2 หมู่บ้านอรุณทอง 5 ซอย 2 ซึ่งเป็นร้านส่งพัสดุ ที่ผู้เสียหายถูกเด็ก 8 ขวบปีนบ้านบุกเข้าไปขโมยเงิน 33,400 บาท
โดยทีมข่าวได้พบกับนายสิทธิ กุลสิทธิวงศ์ หรือฟลุ๊ค อายุ 27 ปี เจ้าของบ้าน ผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 ต้นมาทำงานตามปกติก่อนจะเห็นว่าเงินที่อยู่ในเก๊ะชั้นล่าง หายไปทั้งหมด 33,400 บาท เมื่อตรวจสอบจากภาพกล้องวงจรปิด จึงเห็นว่า คืนวันที่ 12 มี.ค. 66 เวลาประมาณ 22.30 น. ผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ได้บุกเข้ามาภายในบ้านของตน โดยมีการแอบปีนเข้ามาที่ซอกตึกด้านหลัง ปีนขึ้นมาที่ชั้น 2 เเละเดินลงมาชั้นล่าง ขโมยเก่ะเงิน ตรงมีโทรศัพท์เเละสิ่งของมีค่าอื่นๆ เเต่น้องก็เอาไปเเค่เงินสด ก่อนจะเดินกลับขึ้นมาที่ชั้นสองอีกครั้งและยื่นเงินส่งให้กับบุคคลบางคนที่รอรับเงินอยู่ด้านนอกตึก โดยเด็กใช้เวลาขโมยของทั้งหมด 4 นาทีเท่านั้น
ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดไม่สามารถบันทึกภาพบุคคลดังกล่าวได้จึงเห็นเพียงแค่เด็กหญิงเท่านั้น หลังจากนั้นตนจึงได้ เดินทางไป แจ้งความ ที่สน. หนองแขม ในวันที่ 14 มี.ค.66
โดยนำภาพจากกล้องวงจรปิดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู จนสามารถตามตัวผู้ก่อเหตุได้ พบเป็นเด็กหญิงข้าว (นามสมมติ) วัย 8 ขวบ พร้อมกับแม่ของเด็ก เเละพ่อเลี้ยง ซึ่งพ่อเเม่อ้างว่าไม่รู้เรื่องที่ลูกไปขโมยเงินเลย แต่ตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีได้ เนื่องจากเด็กหญิง เป็นเพียงเยาวชน เเม้จะรับสารภาพว่าเป็นคนขโมยเงินไป แต่ไม่ยอมบอกว่าเอาเงินไปซ่อนไว้ที่ไหน เเละบอกว่ามีคุณป้าผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนในพื้นที่พาไปขโมยของ เเต่ไม่มีหลักฐานเอาผิดใครได้
ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเข้าตรวจค้นบ้านพักของเด็กหญิงและผู้ปกครองก่อนจะพบเงินจำนวน 10,000 กว่าบาท ที่แม่เด็กซุกซ่อนเอาไว้ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเงินจำนวนที่เด็กขโมยมาจริงหรือไม่ จึงไม่สามารถเอาผิดได้
ภายหลังตำรวจจึงไกล่เกลี่ย ให้พ่อแม่ของเด็กหญิงชดใช้ให้ตน ผ่านการผ่อนจ่ายเดือนละ 1,000 บาท แต่พ่อแม่ของเด็กกลับจ่ายมาได้เพียงแค่ 2 เดือน เป็นเงินรวม 2,000 บาท หลังจากนั้นตน ก็ไม่ได้รับเงินอีกเลย ตนพยายามทนมาหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ขอเข้าไปหาที่บ้าน เขาก็อ้างว่าขัดสนไม่มีเงินมาผ่อนชำระ ตนก็คิดว่าหลังจากนี้คงไม่ได้เงินคืนอีกแล้ว
ที่ผ่านมาตนเคยเห็นหน้าค่าตาของเด็กหญิงวัย 8 ขวบนี้เป็นประจำ เพราะบ้านอยู่ซอยข้าง ๆ กัน โดยเด็กหญิงไม่เคยเดินเข้ามาในร้านของตนแต่มีการเดินผ่านหน้าร้านบ่อยครั้ง ซึ่งก็คาดว่าทุกครั้งที่มีการเดินผ่านน่าจะแอบมองเข้ามาในร้านทำให้รู้ว่าร้านเก็บเงินไว้ตรงไหน
ซึ่งชาวบ้านแถวนี้รู้กันดีกว่าเด็กคนนี้ก่อเหตุขโมยของและเงินมาแล้วหลายครั้ง จนชาวบ้านเอือมระอากันหมด ซึ่งตนก็ยังเคยวิ่งไล่จับเด็กคนนี้ตอนไปก่อเหตุขโมยในร้านขายของชำใกล้กันเมื่อไม่นานมานี้ด้วย แต่ตอนนี้เด็กคนนี้ก็ยังลอยนวลอยู่ในชุมชนอยู่ ก่อเหตุกี่ครั้งกฎหมายก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เนื่องมีกฎหมายคุ้มครองอยู่ / ซึ่งตนมองว่า นี่เป็นช่องโหว่ของกฎหมาย ที่เอื้ออำนวยส่งเสริมให้เด็กกระทำความผิด รวมถึงผู้ปกครองของเด็กเเละสิ่งเเวดล้อมก็ไม่ได้มีการดูแลที่เหมาะสม เพราะน้องก็ไม่ได้ไปโรงเรียน อยากให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ด้วย รวมถึงอยากให้ผู้ปกครองดูแลลูกหลานให้ดีกว่านี้
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ภายในซอยเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ 8/3 ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร โดยทีมข่าวได้พบกับนางหัทยา ผู้เป็นแม่ของเด็กผู้ก่อเหตุ พร้อมกับเด็กหญิงวัย 8 ขวบ และเด็กชายวัย 3 ขวบ อาศัยอยู่ภายในห้องเช่า โดยนางหัทยา เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนไม่รู้และไม่เกี่ยวข้องกับเงิน 3 หมื่นที่หายไปแต่อย่างใด และไม่รู้ว่าเงินไปอยู่ที่ไหน ซึ่งที่ผ่านมาตนไม่เคยสั่งสอนให้ลูกของตนไปขโมยของตามบ้านของใคร และตนไม่เคยสอนให้ลูกของตนเป็นคนแบบนี้
ซึ่งที่ผ่านมาตนห้ามจนปากเปียกปากแฉะ ด่าก็แล้วตีก็แล้ว จนตนไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะตนเองก็ไม่มีเวลาเลี้ยงดู แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนรู้เพียงแค่ว่า มีผู้ใหญ่คนนึงที่ลูกทั้งสองคนของตนจะชอบไปสุงสิงอยู่ด้วย และก็เป็นคนที่ตนรู้จักดี โดยยอมรับว่าตนเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนไปชดใช้เจ้าของบ้านที่ลูกของตนเข้าไปขโมย ตนเครียดมาก เพราะตนก็หาเช้ากินค่ำ และถ้ามีหน่วยงานมาเอาลูกของตนไปรับเลี้ยงดู ตนก็ไม่เอา เพราะตนเลี้ยงลูกของตนมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ จะยอมให้ปล่อยลูกให้คนอื่นไปเลี้ยงได้อย่างไร
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปพูดคุยกับยายปุ้ย ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณหน้าซอยของบ้านเด็กหญิงวัย 8 ขวบ โดยยายปุ้ย หรือ นาง สุปราณี เล่าว่า ตนยอมรับว่าตนรู้จักกับเด็กหญิงวัย 8 ขวบ และผู้เป็นแม่จริง ซึ่งเมื่อก่อนนี้ก็จะไปที่บ้านของเด็กหญิงวัย 8 ขวบเป็นประจำ แต่ตนยืนยันว่าตนไม่เคยบังคับให้เด็กไปขโมยตามที่เด็กอ้างแต่อย่างใด ซึ่งตนรู้สึกโกรธมากที่เด็กกลับมาอ้างถึงตน ทั้ง ๆ ที่ตนก็เลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำกินมาตลอด ซึ่งความจริงคนที่พาเด็กไปขโมยนั้นเป็นผู้ชายที่อยู่ระแวกนี้ ที่จะคอยพาเด็กไปขโมย ไม่ใช่ตนแต่อย่างใด
โชติกา ม่วงใจรักษ์ ผู้สื่อข่าว กทม.