วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 เวลา 12.00 น.
พ.ต.ท. วิทยา บุญคุ้ม สว.สอบสวน สน.ทุ่งครุ รับแจ้งจากทางสายด่วน 199 มีเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ภายในซอยประชาอุทิศ 79 แยก 7 จึงรีบรุดจัดกำลังพร้อมประสานเจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัย ทุ่งครุ พร้อมอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ( อปพร.เขตราษฎร์บูรณะ ) และ อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู เร่งรัดตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาสาสมัครมาถึงที่เกิดเหตุ พบจุดเกิดเหตุอยู่ภายในบ้านเลขที่ 779/2 หมู่ที่ 1 ซอย ประชาอุทิศ 79 แยก 7 ถนน ประชาอุทิศ แขวง ทุ่งครุ เขต ทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร เป็นลักษณะบ้านไม้เก่า 2 ชั้น มีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่บนพื้นที่ 43 ตารางวา และมีบ้านใกล้เคียงซึ่งปลูกติดกันอีกหลายหลัง พบแสงเพลิงและกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมากบริเวณชั้นล่างของตัวบ้านหลังดังกล่าวและลุกลามอย่างรวดเร็วขึ้นสู่ชั้นที่ 2 ของตัวบ้าน อาสาสมัครพร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงช่วยกันลำเลียงเครื่องหาบหามเข้าสู่พื้นที่อย่างทุลักทุเลเหตุเพราะภายในซอยดังกล่าวเป็นซอยที่แคบและเล็กมากรถดับเพลิงขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงบ้านหลังดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีหาบเครื่องสูบน้ำแบบหาบหามเข้าไปในพื้นที่แทน ใช้เวลาในการระงับเหตุเกือบ 30 นาที จึงควบคุมสถานการณ์ได้เป็นผลสำเร็จแสงเพลิงหมดไป และจากการตรวจสอบภายในสถานที่เกิดเหตุไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วควบคุมเพลิงได้ก่อนที่จะลุกลามไปบ้านข้างเคียง จึงสรุปความเสียหายทั้งหมดแค่บ้านต้นเพลิงเพียง 1 หลัง บนเนื้อที่ 43 ตารางวา เป็นบ้านไม้เก่าทั้งหลัง 2 ชั้นทรัพย์สินภายในบ้านเสียหายทั้งหมด แล้วบริเวณหน้าบ้านยังพบกับเจ้าชองบ้านหลังดังกล่าวเป็นชาย 1 ราย อายุ 70 ปี มีอาชีพค้าขายของเก่า
และจากการสอบถามเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว บอกเล่าให้ฟังว่า ตอนตนเองออกจากบ้านไปเอาปีบไปให้เขาแล้วเขาก็บอกให้รอก่อนจะให้ข้าวให้อะไรไปกินหน่อยตอนเกิดเหตุไม่มีคนอยู่บ้านเลย ตนเองพักอาศัยอยู่คนเดียว แล้วก็ไม่ได้เสียบปรั๊กอะไรไว้เลย ตนเองไม่ได้ทำงานเก็บขวดขายอะไรขายหากินไปวันๆ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของตนเองบนเนื้อที่ 43 ตารางวา ว่าจะขอเงินลูกชายมาซ่อมแต่เขาก็ไม่เคยให้เลยเป็นปีแล้ว บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้สัก 2 ชั้น เคยให้คนมาอาศัยอยู่ด้วยแต่เขาย้ายออกไปแล้ว แต่เขาออกไปแล้วก็ไม่ได้บอกตน มาอยู่เป็นปีจนหลังคาผุก็ไม่ซ่อมให้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องรอให้เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งถึงจะหาขอสรุปสาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าวได้ และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วถึงจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
โชติกา ม่วงใจรักษ์ ผู้สื่อข่าว กทม.