ไฟไหม้กุฏิหลังเก่าอาคาร 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้เหตุเกิดที่วัดใน จ.ร้อยเอ็ด เสียหายทั้งหลัง เบื้องต้นคาดว่าสาเหตุเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
วันที่ 1เม.ย.67เวลาประมาณ 07.50 น. เจ้าหน้าที่เข้าดับเพลิงที่กำลังลุกไหม้กุฏิ 2 ชั้นอาคารครึ่งปูนครึ่งไม้ ภายในวัดนิกรบำรุงหมอตา บ.หมอตา หมู่3 ต.ดอกไม้ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อไม่ให้ลามไปอาคารที่อยู่ข้างเคียง หลังใช้เวลาประมาณ 30นาที จึงสามารถความคุมเพลิงไว้ได้ แต่กุฏิต้นเพลิงถูกไฟไหม้สิ่งของและอาคารเสียหายทั้งหลัง พระพุทธรูปไม่โดนไฟไหม้
จากการสอบถามชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรกคือ นางหนูเพียร พลภูงา อายุ56ปี ชาวบ้านหมอตา เล่าว่า ขณะที่ตนกรวดน้ำรับพรเสร็จได้นำขันรองน้ำที่กรวดน้ำเสร็จแล้วออกมาเท-รดต้นไม้บริเวณหน้ากุฏิจึงได้กลิ่นไหม้และได้ยินเสียงดัง คล้ายการจุดพลุดังขึ้น จึงมองกลับไปดูที่กุฏิชั้นสองแล้วพบว่ามีกลุ่มควันลอยออกจากกุฏิที่บริเวณชั้นสอง จึงร้องตะโกนให้ชาวบ้านทราบและรีบวิ่งขึ้นไปที่หอระฆังไปตีระฆังรัวๆเพื่อส่งสัญญาณให้ชาวบ้านทราบ เพื่อที่จะได้มาช่วยกันดับไฟ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่พระกำลังจะฉันภัตตาหารเช้าหลังจากที่ให้ศีลให้พรญาติโยมแล้ว ซึ่งวันนี้เป็นวันพระ จึงมีญาติโยมมาทำบุญถวายภัตตาหารเช้าที่วัดประมาณ20คน ขณะเกิดเหตุชาวบ้านได้ช่วยกันขนของหนีไฟและช่วยกันดับไฟ จนกระทั่งรถดับเพลิงได้มาถึงจุดเกิดเหตุ
และสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้
กุฏิหลังดังกล่าวเป็นอาคารครึ่งปูนครึ่งไม้ ชั้นบน(ชั้นสอง)แบ่งเป็น5ห้อง และใช้เป็นที่เก็บสิ่งของต่างๆเช่นหมอน ที่นอน เสื่อ พัดลม ชุดสังฆทานต่างๆที่ญาติโยมได้นำมาถวาย ซึ่งหมอนและที่นอนน่าจะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีจึงทำให้ไฟโหมลุกไหม้อย่างรุนแรงจนวอดทั้งหลัง ปัจบันทีวัดมีพระจำวัดอยู่6รูป
ตอนเกิดเหตุมีพระอยู่ในกุฏิจำนวน4รูป ที่กำลังจะเตรียมฉันภัตตาหารเช้า และมีพระสงฆ์อีก1รูปได้วิ่งขึ้นไปดูเหตุการณ์ที่ชั้นสองจนเกิดอาการสำลักควันชาวบ้านจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลซึ่งตอนนี้อาการปลอดภัยดีแล้ว
ความเสียหายเบื้องต้นต้องรอเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและประเมินความความเสียหายอีกครั้ง
แต่ที่น่าอัศจรรย์คือพระประธานไม่ไหม้ไฟ และพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองบ้านหมอตาอายุหลายร้อยปีที่ทำมาจากหินทรายก็ไม่ไหม้ไฟมีแค่แตกหัก(คอหัก)คาดว่าน่าจะล้มจึงแตกหัก คอพระหัก ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระที่ชาวบ้านหมอตาให้ความเคารพนับถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ภาพ/ข่าว::พงษ์พัฒน์ นามสอน/ร้อยเอ็ด