ข่าวพาดหัว

แม่สุดงง พาลูกไปเปลี่ยนนามสกุล ถูกเรียกเก็บเงินค่าทำเอกสารและค่าธรรมเนียม รวมเป็นเงินหัวละ 600

วันที่ 28 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าว ได้รับการร้องเรียนจาก นายเศรษฐา เกิดโอภาส อายุ 39 ปี ว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ตนเองพร้อมด้วย นางสาวประภา เกิดโอภาส 36 ปี (น้องสาว) เป็นแม่ของหลาน / นายภูเบศ สุจริตกุล อายุ 19 ปี (หลานชาย) นางสาวพรชนก สุจริตกุล อายุ 17 ปี (หลานสาว) ได้เดินทางไปที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อทำการเปลี่ยนนามสกุลหลานทั้งสองคน โดยได้เตรียมเอกสารหลักฐานและพยาน เพราะ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 ตนเองได้ไปสอบถาม เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน ที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ มาก่อนหน้านี้แล้ว


จนมาวันที่เกิดเหตุคือ วันที่ 22 เมษายน ทางตนเองกับน้องสาวและหลานทั้งสองคน เลยเดินทางไปที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ เพื่อดำเนินการตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ พอตนเองกับครอบครัวไปถึงที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ ก็ได้ไปรับบัตรคิวตามปกติ พอถึงคิวได้นำเอกสารไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนพร้อมตัวหลานทั้งสองคน เจ้าหน้าที่ดูเอกสารเรียบร้อย ดูตัวหลานเรียบร้อย แล้วพยานที่จะมาให้การ เจ้าหน้าที่บอกให้เดี๋ยวรอปลัดฝ่ายทะเบียนราษฎร์ คือ นาง แก้วใจ เผือกวัฒนะ จนเจ้าหน้าที่เรียกเข้าพบปลัด ตนเองและน้องสาวพร้อมหลานทั้งสองคนได้เดินเข้าไปพบปลัด / ปลัดได้ตรวจเอกสารและแจ้งกับตนเองว่าต้องรอนะ เพราะมีคนมาติดต่อราชการเยอะหรือคิวยาว แต่ทางปลัดก็บอกติดปัญหานู้นปัญหานี้ แล้วจากนั้นทางปลัดก็ได้บอกกับตนเองและครอบครัวว่าต้องเสียค่าดำเนินการคนละ 500 บาท รวม 2 คนเป็น 1,000 บาท ส่วนตนเองและน้องสาวพร้อมด้วยหลานทั้งสองก็ตอบตกลงเพราะคิดว่าเป็นค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการในการจัดการในครั้งนี้


น้องสาวจึงได้ยื่นเงินให้ไปเป็นธนบัตรแบงค์พัน 1 ใบ ทางปลัดจึงได้เอาเงินที่ให้ไปเก็บใส่ลงเก๊ะที่โต๊ะทำงาน แล้วจากนั้นจึงให้นำเอกสารไปยื่นหน้าเคาน์เตอร์ จากนั้นก็นั่งรอ พอสักพักเจ้าหน้าที่เรียกถึงคิวจึงได้ลุกขึ้นไปดำเนินการเอกสารในการเปลี่ยนนามสกุล เมื่อดำเนินการเรียบร้อยเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเงินอีกคนละ 100 บาท ทางตนเองและครอบครัวก็งงกับการเรียกเงินในครั้งนี้ จึงได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ว่าก่อนหน้านี้ตนได้จ่ายเงินกับปลัดไปแล้วคนละ 500 บาท ทางเจ้าหน้าที่บอกไม่ทราบ เพราะตรงนี้เป็นค่าธรรมเนียมคนละ 100 บาท และมีใบเสร็จออกให้ ส่วนคนละ 500 ต้องไปถามทางปลัดเอง ทางครอบครัวก็ไม่ได้เข้าไปถามปลัด เนื่องจากเมื่อดำเนินการเอกสารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเป็นเวลาเย็นแล้วเกือบ 17.00 น เพราะตนเองได้เดินทางไปดำเนินการตั้งแต่ 14.00 น จากนั้นจึงเดินทางกลับมาที่บ้านพักและได้คุยกันภายในครอบครัว จน น้องชาย คือ นายบดินทร์ธร ศรีสุนธรากุล อายุ 22 ปี ซึ่งรู้จักกับเพื่อนที่ทำงานฝ่ายปกครอง ได้โทรไปถามเช็คข้อมูล บอกว่าการดำเนินการมีแค่ค่าธรรมเนียมคนละ 100 บาท เท่านั้น ไม่มีการเรียกเก็บเงินนอกเหนือจากนี้ แต่ทางครอบครัวดูแล้วไม่เป็นธรรม จึงได้เดินทางไปที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ เพื่อสอบถามและให้ชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ได้รับคำตอบจากทางอำเภอ ให้รอการไต่สวนข้อเท็จจริงจากปลัดเสียก่อน จากนั้นตนเห็นแล้วไม่ถูกต้องจึงได้โพสต์ใน facebook ของกลุ่ม เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงกับผู้ที่รู้ จากนั้นมีคน comment มา ว่าตามระเบียบหรือตามกฎหมาย ว่าไม่มีการเก็บเงิน นอกจากค่าธรรมเนียม จากนั้นทางครอบครัวจึงดูแล้วว่าปลัดคนดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทางครอบครัวจะทำการร้องเรียนเพื่อดำเนินการกับปลัดคนดังกล่าวให้ถึงที่สุด และ ล่าสุดหลังจากเกิดเหตุ ทางท่านนายอำเภอพระสมุทรเจดีย์ รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว คือ นายโชติพงศ์ เปล่งวิทยา นายอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จึงแนะนำให้ผู้เสียหายให้มาแจ้งร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอพระสมุทรเจดีย์ เพื่อจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และ ในวันที่ 29 เมษายน 2567 เวลา 14.00 น. ทาง นายอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จะมีการตรวจสอบและชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ทางด้าน นางสาวประภา เกิดโอภาส อายุ 36 ปี แม่ผู้เสียหาย เล่าว่าเหตุเกิดวันที่ 12 เมษายน ณ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ ไปขอเปลี่ยนนามสกุล 2 คน ซึ่งเป็นลูกสาวและลูกชาย อายุ 18 และ 19 ปี ซึ่งต้องนับถอยหลังไปก่อนหน้านี้ 1 วัน คือ วันที่ 11 เมษายน ทางเขตแจ้งว่าในกรณีพ่อเด็กไม่ได้มา หรือ เซ็นยินยอม ต้องมีพยานเซ็นอย่างน้อย 2 คน ตนเองจึงกลับมาบ้านและพาพี่ชายพร้อมแม่ไปเป็นพยานให้ จากนั้นวันที่ 22 จึงไปอีกรอบนึ่ง พร้อมพี่ชายและแม่ลางานไปพร้อมกันทั้งหมด 4 คน ซึ่งไปถึงบ่ายโมงเกือบบ่ายสองแล้วต้องไปรับบัตรคิว จากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสาร และ ดูว่ามีพยานมาพร้อม มีใบเกิดลูกเอกสารลูกครบ จากนั้นเจ้าหน้าที่บอกให้รอแล้ว ค่อยคุยกับปลัดเพื่อเซ็นเอกสาร เมื่อได้พบเจอท่านปลัดก็ถามถึงว่า เปลี่ยนนามสกุลพ่อของเขายินยอมไหม ตนเองจึงบอกว่า พ่อเขาทิ้งลูกไปตั้งแต่ลูก 1 ขวบ 8 เดือน ตนเองจึงไม่สามารถติดต่อได้ จากนั้นปลัดจึงพูดว่าหลายเคสก็จะอ้างแบบนี้ ซึ่งจริงๆแล้วจะต้องเป็นเพราะเด็กที่มาเซ็นยินยอม และตนเองจึงพูดไปว่าไม่ได้ติดต่อมาตั้งแต่ตอนลูกเล็กๆแล้ว และ มีเจ้าหน้าที่แนะนำว่าสามารถใช้พยานบุคคล 2 คนอ้างอิงได้ จากนั้นปลัดจึงเรียกพยานและสอบสวนว่าเป็นพี่ชายและเป็นแม่ ตนเองดูแลลูกคนเดียวตั้งแต่เด็กๆ จากนั้นปลัดอ้างว่า วันนี้คนมาทำธุระเยอะ ขอประมาณว่า ให้เห็นใจทำเคสอื่นก่อนได้ไหม เพราะเราจะรอนาน ตนเองจึงบอกว่าลางานแล้วและสามารถรอได้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เรียกหมายเลขคิวเรา พร้อมทำเอกสารให้อีก 1 ชุด ประมาณว่าเหมือนเป็นคำร้องถามตอบว่าเราไม่ได้อยู่กับพ่อเด็กช่ายไหม ลักษณะการขยายสืบพยาน แม่เด็กตอบยังไง ทางเขตถามยังไง ซึ่งในความเป็นจริงเขาไม่ได้สอบถามเพียงแต่ทำเอกสารเขียนเฉยๆให้เราอ่านและตอบ
ให้เราอ่านเอกสารว่าแบบนี้ถูกต้องใช่ไหม เพราะเขาถามเราไปเบื้องต้นแล้วว่าได้จดทะเบียนไหม จดใบรับรองบุตรไหมตนเองจึงตอบไปว่าไม่มี เพราะตั้งแต่แรกก็ไม่มีอยู่แล้ว ก็เลยต้องมีพยานและเขียนคำร้องขึ้นมาใหม่ และจากนั้นเจ้าหน้าที่แจ้งมาว่ามีค่าทำเอกสาร 500 บาท จากนั้นตนเองจึงตกลง เพราะคิดว่าเป็นค่าธรรมเนียมของทางเขต ตนเองก็ไม่รู้ว่ามีค่าธรรมเนียมหรือไม่ เพราะตนเองไม่เคยเปลี่ยนนามสกุล ซึ่งจ่ายกับทางปลัดหลังจากนั้น เมื่อให้อ่านเอกสารเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงยื่นเรื่องต่อให้เคาน์เตอร์ทำ โดยอ้างว่าขอเก็บค่าเอกสารก่อนเลยกลัวจะลืม เมื่อเราจ่ายเรียบร้อยแล้วเขาก็รีบเก็บใส่เก๊ะ โดยจ่ายกับทางปลัดแบงค์พันคนละ 500 บาท 2 คน หลังจากจ่ายแล้วจึงไปนั่งรอทำเรื่องที่หน้าเคาน์เตอร์ จากนั้นทางเคาน์เตอร์ก็ทำหน้าที่ตามปกติ ทำใบเปลี่ยนนามสกุล และมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอีก 200 บาท ซึ่ง คนละ 100 บาทตนเองจึงเริ่มมีความสงสัย เนื่องจากเมื่อสักครู่จ่ายไปแล้ว 1,000 บาทและยังต้องจ่ายอีกหรือ เนื่องจากตนเองไม่มีเงินแล้วจึงหันไปถามพี่ชายว่า เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ไม่รับโอนแต่ตนเองมีแบงค์พันอีก 1 ใบ เจ้าหน้าที่จึงไปหาแลกมาให้ พร้อมกับใบเสร็จ จากนั้นตนเองจึงถามแกไปว่าเมื่อสักครู่ที่จ่ายไป 1,000 บาท คือค่าอะไร ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์อ้างว่าไม่รู้ค่ะ แต่ทางเคาน์เตอร์มีใบเสร็จนะคะ จากนั้นทางเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์จึงแจ้งว่าต้องไปถามเขาเองที่ทางปลัดรับตังค์ไป ให้ไปสอบถามว่าคือค่าอะไร ทำให้ตนเองยิ่งสงสัย แต่ว่าปล่อยไปก่อนเพราะว่าจะได้รีบจบ แต่พี่ชายของตนเองมีความสงสัยและอยากจะสอบถาม ตนเองจึงปล่อยไปเนื่องจากเวลามันเกือบจะ 17:00 น แล้ว เจ้าหน้าที่อ้างว่ามันค่อนข้าง ยุ่งยากและงานค่อนข้างเยอะ ต้องให้เรารอเพราะว่าเขาต้องเซ็นทุกเคส และ จากนั้นจึงได้ใบเปลี่ยนชื่อนามสกุลเรียบร้อย แต่ยังมีความสงสัยที่เราจ่ายไปคือค่าอะไรบ้าง ส่วนที่มีใบเสร็จเราโอเค ทำให้เราสงสัยมาก


ตนเองจริงอยากจะฝากถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเคสนี้จริง ๆ แล้วหลายคนก็ไม่ได้อยากเอาเรื่อง เพราะมันต้องเสียเวลาเราต้องทำงานอีกหลายๆอย่าง ที่ตนเองร้องเรียนเพราะว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก ซึ่งเงินมันไม่ใช่จำนวนเยอะ แต่หากสำหรับคนอื่น เราไม่รู้ แล้วถ้าเขาไม่มีเงินล่ะ ตนเองคิดว่าน่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับตนเอง แต่ ไม่มีการออกมาพูด เราคิดแบบนั้นและเราเชื่อว่าต้องมี ตนเองจึงอยากขอความเป็นธรรม
นายบดินทร์ธร ศรีสุนทรากุล อายุ 22 ปี น้าผู้เสียหาย บอกว่า ตนได้รู้เรื่องว่า หลานทั้ง 2 คน เข้าไปเปลี่ยนชื่อที่อำเภอพระสมุทรเจดีย์ ซึ่งโดนเก็บเงินต่างหากคนละ 500 บาท รวม 2 คน 1,000 บาท ซึ่งตนก็รู้ระเบียบทางอำเภออยู่แล้วว่าในการเปลี่ยนชื่อแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายเพียงคนละ 100 บาทเท่านั้น ทางตนมีคนที่รู้จักที่ทำงานในอำเภอ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลเพื่อความแน่ใจ และทาง คนรู้จักจึงได้โทรประสานกับปลัดคนหนึ่งเพื่อดำเนินเรื่อง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งในเช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่ 23 เมษายน ชายที่เป็นคนประสานเรื่องให้ ก็บอกให้ตนเข้าไปแจ้งร้องต่อศูนย์ดำรงธรรม ซึ่งในตอนแรกตนไม่ได้คิดที่จะเอาเรื่อง เพียงแค่อยากได้คำชี้แจง จากทางปลัดหญิงคนดังกล่าวว่า เก็บ 500 บาท เพราะอะไร ทางตนก็ได้คุยกับทางนายอำเภอพร้อมเรียกแม่และลุงเข้าไปคุยประชุมกัน ซึ่งตอนแรกทางนายอำเภอก็ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว พร้อมฟังเหตุผลที่ตนได้กล่าวไปขั้นต้น และนัดกันว่า 3 โมงเย็น จะมีการเรียกมาพูดคุย และมีการชี้แจงกัน พร้อมให้ปลัดหญิงดังกล่าวมาชี้แจง ซึ่งหลังจาก ประชุมเสร็จ ก็จะมีการออกมาชี้แจง แต่ทางปลัดหญิงคนนั้นไม่อยู่แล้ว มีการประชุมรอบ 2 อีกครั้ง แต่จากที่ตนฟังคำชี้แจงนั้น เหมือนเป็นการเข้าข้างกันเอง ซึ่งตอนนั้นก็ได้เข้าไปคุยกับทางพนักงานในอำเภอ เขาก็ไม่ได้ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่า ทางด้านนั้นได้คุยอะไรอย่างไรกันบ้าง ซึ่งตนก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์สำหรับฝ่ายตน เพราะเป็นเหมือนการเข้าข้างกันเอง ตนจึงบอกไปว่าจะเอาเรื่อง ซึ่งทางตนก็ได้มีการติดต่อ กับทางนายอำเภอและได้มีการเลื่อนเวลาในการพบเจอกัน เพราะตนก็ยังไม่ได้มีหลักฐานมากพอทางตนก็พยายามพูดให้ยอมบอกมาเพื่อจะได้ไม่แจ้งเอาเรื่อง ทางฝ่ายนั้นก็ได้แจ้งมาว่า ได้ติดต่อไปยังปลัดอีกคนหนึ่งให้เข้ามาประสานเรื่องแล้ว แต่ทางปลัดคนดังกล่าว ก็ยังไม่ติดต่อมา ตนจึงได้โทรไปถามอีกครั้ง ทางปลัดคนดังกล่าวก็ได้ให้เบอร์กับทางปลัดผู้หญิงมา จากการโทรคุยกัน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันกับที่ทางนายอำเภอได้พูดมาก่อนหน้านั้น ตนมีหลักฐานเป็นคลิปเสียงในการโทรคุยกันกับปลัดหญิงคนดังกล่าว ได้มีการยอมรับสารภาพ ทางสายโทร ในช่วงแรกก็มีการโทษตนก่อนว่ามีการเข้าใจผิดในเรื่องกฎหมาย และยังมีการอ้างอีกว่าเงินที่ได้มานั้น จะนำไปทำบุญ และยังบอกอีกว่าถ้า ทางฝ่ายตนเอาเรื่อง ก็จะเป็นการแล้งน้ำใจและทำให้ไม่มีกำลังใจในการทำหน้าที่ต่อไปซึ่งหลังจากนี้ ตนก็จะเข้าไปร้องเรียนทางอำเภอเพื่อเป็นเคสตัวอย่างและจะได้ไม่มีคนโดนอีก


นายเศรษฐา เกิดโอภาส อายุ 39 ปี ลุงผู้เสียหาย เล่าว่า น้องสาวมาบอกกับตนว่ามีค่าเสียเงินในการทำ 200 บาท เพราะ ทำ 2 คน ซึ่งตนก็สงสัยว่าก่อนหน้านี้ที่จ่ายไป 1,000 บาท ไม่รวมเสร็จในทีเดียวหรอ จึงเดินเข้าไปถามที่เคาน์เตอร์พนักงาน ก่อนหน้านี้ที่ตนจ่ายเงินเนี่ยให้กับปลัดหญิง 2 คน 1,000 บาท ซึ่งทางพนักงานก็บอกมาว่าไม่รู้ว่า ที่จ่ายไปให้กับปลัดหญิงก่อนหน้านั้นคือค่าอะไร ซึ่งทางพนักงานก็บอกมาว่าไม่รู้ ว่าที่เสียให้กับปลัดหญิงก่อนหน้านั้นคือค่าอะไร แต่ 200 บาทในการจ่ายครั้งนี้คือค่าธรรมเนียม ซึ่งขณะนั้นตนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ จึงได้ถ่ายรูปเอกสารพร้อมกับปลัดหญิงคนดังกล่าวไว้ ซึ่งถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็จะมาร้องกับทางอำเภออีกที อย่างน้อยก็ให้ความเป็นธรรมได้ หลังจากเสร็จวันนั้น
**************************
สุรศักดิ์ คงสินธ์ / ธนวัต นาคขำ จ.สมุทรปราการ