ข่าวพาดหัว

ทนายตั้ม พากลุ่มผู้เสียหายยืนหนังสือกับผู้การปากน้ำเพื่อขอให้ย้ายตำรวจทั้ง 2 นายนี้ ออกนอกพื้นที่ก่อน

จากกรณี กลุ่มผู้เสียหาย 5 คน เข้าร้องเรียนกับ ทนายตั้ม ษิทธา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ว่าถูกรองผู้กำกับสืบสวน ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการกลั่นแกล้ง ให้รับโทษคดียาเสพติด โดยใช้วิธีให้ผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน และ ยาเสพติดเซ็นกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับคดี จนท้ายที่สุดคนในครอบครัวถูกออกหมายจับ


โดยเมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ ( 29 สิงหาคม 2567 ) ทาง ทนายตั้ม เปิดเผยว่า วันนี้ ตนเองพา นายอ๊อด ซึ่งเป็นผู้เสียหาย และเป็นน้องชายของนายอั้ม ที่ขณะนี้ ถูกคุมขังอยู่และไม่ได้รับความเป็นธรรม มายื่นหนังสือที่ผู้การเพื่อขอความเป็นธรรม โดยผู้เสียหายเชื่อว่าถูกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ระดับรองผู้กำกับการแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเคยมีปมขัดแย้งกับนายอ๊อดและพี่ชายมาก่อน โดยผู้เสียหายตั้งข้อสงสัยว่า ถูกกันแกล้ง และใส่ร้ายโดยปั้นพยานต่างๆ ให้เข้าข้อกฎหมายเรื่องสมคบ ในวันนี้จึงมายื่นหนังสือต่อท่านผู้การเพื่อขอให้ย้ายตำรวจทั้ง 2 นายนี้ ออกนอกพื้นที่ก่อน


สืบเนื่องมาจากช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายแสงระวี กุ่ยวงค์ตาล ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่มเดียวกันกับ นายอ๊อดและนายอั้ม ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวในวัดแห่งหนึ่ง ในข้อหาฟอกเงิน และขณะที่เข้าจับกุมนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจพบยาเสพติด เป็นยาเค อยู่ที่ตัวของนายแสงระวี ด้วย / แต่ปรากฏว่าตำรวจดำเนินคดีข้อหาเดียว คือ ข้อหาฟอกเงิน แต่ไม่ได้ดำเนินคดีเรื่องยาเสพติดที่จับได้ในวันควบคุมตัว / กระทั่งนายแสงระวีเข้าสู่กระบวนการตามกฏหมาย และมีการประกันตัวออกมา นายแสงระวี ได้มาบอกกับ นายอ๊อด จึงทราบว่า ในวันที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวที่วัดนั้น ตำรวจบอกกับนายแสงระวีว่า จะดำเนินคดีเพียงข้อหาเดียวคือคดีฟอกเงิน ส่วนเรื่องยาเสพติดไม่ดำเนินคดี แต่ได้นำทะเบียนราษฎร์ของ นายอ๊อด นายอั้ม และกลุ่มเพื่อน พี่ น้อง ที่รู้จักกันรวมแล้วจำนวน 11 คน มาให้นายแสงระวีเซ็น เพื่อยืนยันว่ารู้จักกัน แต่ขณะนั้นนายแสงระวีไม่ทราบว่าเป็นการซัดทอดหรือไม่ จึงได้ยอมเซ็น เพื่อแลกกับการไม่โดนดำเนินคดีในข้อหายาเสพติด / ทนายตั้มบอกอีกว่ายอมรับว่าได้รับข้อมูลจากทางลูกความว่าก่อนหน้านี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทั้งนายอ๊อด และนายอั้ม เคยข้องเกี่ยวกับยาเสพติดจริง แต่ขณะนี้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้ว และประกอบอาชีพอย่างสุจริต ยิ่งทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุผลนี้หรือไม่จึงได้ให้นายแสงระวีเซ็น เพื่อเป็นการซักทอดต่อ / อีกทั้ง ในวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปจับกุมนายแสงระวีนั้น ได้มีการถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้อยู่ตลอด ก็ยิ่งทำให้เกิดข้อสังเกตอีกว่า ในวันที่เข้าไปจับกุม ทำไมจึงไม่ดำเนินคดีเรื่องยาเสพติดด้วย แต่ตำรวจบอกว่าที่ไม่ดำเนินคดีเรื่องยาเสพติดเพราะจะให้มาซักทอดเพื่อดำเนินคดีกับนายอ๊อด พี่ชาย และกลุ่มเพื่อน ต่อมา นายอ๊อด จึงได้พานายแสงระวีไปร้องเรียนที่ ป.ป.ช. ถึงการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ


กระทั่งช่วงเดือนพฤษภาคมเช่นเดียวกัน นายกฤษฎา รัตนพันธ์ หรือ นายหนึ่ง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเดิม เข้าจับกุมในข้อหาฟอกเงิน แต่ทางครอบครัวได้มีการประกันตัวออกมา / หลังจากนั้น ตำรวจได้มีการเรียกนายหนึ่ง และนางนุชซึ่งเป็นภรรยา ไปพบภายในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยตำรวจได้บอกกับนางนุชว่าได้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้วพบว่ามีความเกี่ยวพันกันกับเส้นทางการเงินของนายหนึ่งซึ่งเป็นสามี และมีการต่อรองขอให้เซ็นทะเบียนราษฎร์ของนายอ๊อด นายอั้ม และกลุ่มเพื่อนรวมทั้งหมด 8 คน เพื่อเป็นการซักทอดต่อ ซึ่งรายชื่อที่ตำรวจนำมาให้เซ็นนั้น เป็นบุคคลเดียวกันกับที่นายแสงระวีเซ็น และครอบครัวของนางนุชจะไม่ถูกดำเนินคดีไปด้วย จึงทำให้ในวันดังกล่าว ทั้งนายหนึ่ง และนางนุช ยอมเซ็น และได้รับคำบอกเล่าจากนางนุช ว่านอกจากทะเบียนราษฎร์ที่นำมาให้เซ็น ยังมีกระดาษเปล่า ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นมาให้นายหนึ่งซึ่งเป็นสามีเซ็นอีกด้วย และขณะนั้นทั้งคู่ไม่ทราบว่าคือเอกสารอะไร ยิ่งทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตอีกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเดิม และปฏิบัติหน้าที่ลักษณะเดิม กระทั่งในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายอั้ม ก็ถูกออกหมายจับในข้อหาฟอกเงิน และยาเสพติด
โดยตนเองขอให้ทางผู้การฯ มีการสอบปากคำใหม่ทั้งหมด พร้อมยอมรับว่า ตนเองไม่มีความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจชุดเก่า และขอให้ผู้การฯ นำพยานหลักฐานทั้งหมดที่ในวันนี้ทางผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกความของตนเองนำมามอบให้ ประกอบสำนวน และสอบปากคำใหม่ ซึ่งหากพบว่าตำรวจใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ก็ไม่ควรจะเอาไว้
ขณะที่ พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ชี้แจงถึงขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของการรวบรวมพยานหลักฐานที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ประเด็นแรก ตนเองขอชื่นชม และขอบคุณที่ทางผู้ถูกออกหมายจับ ยอมมอบตัวและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม


ประเด็นที่สอง ทุกคดีในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ในส่วนของการจับกุมนั้น จะต้องมีการขยายผลต่อ และคดีที่สำคัญ อย่างคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดนั้น ในการขยายผล จะมีชุดสืบสวนสอบสวนขยายผลของจังหวัดที่ตั้งขึ้นมา จากศูนย์ปราบปรามยาเสพติด /ซึ่งในการทำงาน จะทำงานเป็นคณะทำงาน การที่คนในคณะชุดสืบสวนปั้นพยานขึ้นมา โดยเอาเรื่องส่วนตัวมาสร้างพยานหลักฐาน และกลั่นแกล้งคนอื่นนั้น หากตรวจสอบแล้วพบว่า กระทำจริง คณะทำงานมีความสุ่มเสี่ยงในการต้องรับโทษมากกว่าเป็นเท่าตัว ซึ่งตนเองเชื่อว่าไม่มีใครอยากแลก แต่หากชุดทำงานกล้าทำ และทางฝั่งผู้เสียหายสู้กลับ ทางคณะทำงานก็ต้องรับผิดชอบทั้งชุดปฏิบัติการ
ประเด็นที่สาม ในส่วนที่ผู้เสียหายส่งเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมนั้น จะนำไปรวมกับเรื่องเก่าที่นายอ๊อดเคยร้องเรียนเข้ามาแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา พร้อมชี้แจงว่าในครั้งนั้น มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยมี รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ เป็นหัวหน้าชุด ส่วนเหตุผลที่ต้องตั้งเป็นคณะทำงานนั้น ก็เพื่อความเป็นธรรมของผู้เสียหาย ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่มีกรอบ และกฎเกณฑ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แล้ว คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วันในการสรุปผล
และ ประเด็นสุดท้าย ในส่วนของคดีที่ทางผู้เสียหายร้องขอความเป็นธรรม ผู้เสียหายสามารถนำเรื่องเข้าสู่สำนวนได้ทันที ในเรื่องพยานหลักฐานที่เป็นการชี้รูปนั้น เชื่อว่าใช้เพียงอย่างเดียวประกอบสำนวนคดีไม่ได้ และคิดว่าต้องมีพยานที่รัดกุม จึงทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และศาล อนุมัติหมายจับ
ทั้งนี้ ตนเองยืนยันว่า ถ้าพบการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ถูกต้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือมีตำรวจเลว ก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน และเชื่อว่าใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น ผู้บริสุทธิ์ก็คือผู้บริสุทธิ์ / แต่ขณะนี้ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่ก่อน
ด้าน นายวัชรินทร์ หอมจรรยา หรือ นายอ๊อด อายุ 36 ปี ผู้เสียหาย ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชาย ของ นายอั้ม ยอมรับว่า ตนเองเคยข้องเกี่ยวกับยาเสพติดจริงเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ขณะนี้ยืนยันว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยว ซึ่งหากตนเองยังยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยาเสพติดอยู่นั้น คงไม่กล้าออกมาร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบนี้ หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวกับตนเองและครอบครัวขึ้น ยอมรับว่าไม่เชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติงาน ทั้งชุดจับกุม หรือชุดที่ทางผู้การตั้งให้เป็นคณะกรรมการสอบสวน และอยากให้มีการโอนย้ายสำนวนคดีไปให้ ตำรวจสอบสวนกลาง เป็นผู้ทำคดี ตนเองเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่กลั่นแกล้งอะไรอีกหรือไม่ นอกจากนี้ตำรวจชุดทำคดียังเคยข่มขู่ตนเองว่าจะออกหมายจับพ่อของตนเองอีกด้วย

สุรศักดิ์ คงสินธ์ / ธนวัต นาคขำ จ.สมุทรปราการ