ข่าวทั่วไปข่าวพาดหัว

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เพิ่มประสิทธิภาพรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ด้วยระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล “ไบโอเมตริก”

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เพิ่มประสิทธิภาพรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ด้วยระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล “ไบโอเมตริก” ที่สามารถร่นระยะเวลาตรวจเอกสารของผู้โดยสารจากเดิมกว่า 30 นาที ลดลงเหลือเพียง 10 นาที โดยระบบพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล “ไบโอเมตริก” จะสามารถเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้ง 6 ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงไหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภภ.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) โดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งคาดการจำนวนผู้โดยสารในปี 2567 นี้ จะมีจำนวนถึง 120 ล้านคน และคาดว่าในปี จะขยับถึง 130 ล้านคน


และหลังจากการแถลงข่าว ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) พร้อม นายกิตติพงษ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และผู้บริหาร นำสื่อมวลชนชมจุดให้บริการของระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล “ไบโอเมตริก” ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงผู้โดยสารขึ้นเครื่อง พร้อมทั้งตอบคำถามต่อสื่อมวลชน และเน้นย้ำในเรื่องความปลอดภัยของระบบที่นำมาใช้เพราะมีการตรวจสอบอย่างรัดกุ่ม และหากระบบเกิดขัดข้องก็จะมีเจ้าหน้าเข้าบริการอย่างทันที โดยระบบจะเริ่มในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ผู้โดยสารภายในประเทศสามารถใช้งานได้ก่อน และในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 จะพร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้โดยสารจำเป็นต้องยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล โดยผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานระบบ Biometric สามารถลงทะเบียนใช้งานเมื่อมาเช็กอิน โดยมี 2 วิธี ได้แก่ (1) เช็กอินที่เคาน์เตอร์เซ็กอิน ผู้โดยสารแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินให้ลงทะเบียนใบหน้าในระบบBiometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร (เครื่อง CUTE) โดยระบบฯ จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบฯ (2) เซ็กอินที่เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัดโนมัติ(เครื่อง CUSS) โดยหลังจากเช็กอินเสร็จแล้ว ให้ผู้โดยสารเลือกสายการบินที่เดินทาง ต่อด้วยเลือก “Enrollment”จากนั้นสแกน barcode จากบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) เสียบหนังสือเดินทาง (Passport)หรือบัตรประชาชน และสแกนโบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ถือเป็นการเสร็จสิ้นการลงทะเบียน ซึ่งระบบฯ จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบฯ เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่ดำเนินการเรียบร้อยแล้วถือว่าผู้โดยสารได้ให้ความยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแล้ว ดังนั้น เมื่อผู้โดยสารจะโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (เครื่อง CUBD) ตลอดจนผ่านจุดตรวจค้น รวมทั้งขั้นตอนขึ้นเครื่อง ไม่ต้องแสดง Passport และ Boarding Pass อีกต่อไป ทั้งนี้ เป็นการยินยอมให้ใช้ข้อมูล Biometric สำหรับการเดินทางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น


ดร.กีรติ กล่าวในตอนท้ายว่า AOT มุ่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในท่าอากาศยานให้ทันสมัย ทันต่อความต้องการของผู้ใช้บริการท่าอากาศยาน เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ AOT ที่จะเป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก


สมุทรปราการ – บุญประสิทธิ์ นุชนารถ