ปทุมธานีปธ.SMEs เสนอเจ้าสัวช่วยเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสช่วยประชาชน
วันที่ 26 มิถุนายน 2564 นายธีรวงศ์ สรรค์พิพัฒน์ ประธานเครือข่ายเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ เสนอให้เจ้าสัวทำธุรกิจแบบมีเมตตา เน้นความสำเร็จด้านสังคม ไม่ใช่มุ่งเน้นแต่กำไรส่วนตน โดยเชื่อว่าเจ้าสัวในประเทศไทย ไม่มีใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับวัคซีนป้องกันโควิด ไม่ต้องการหากินกำไรกับชีวิตคนไทย แม้บางรายจะมีสัมมาชีพค้าชีวิตปศุสัตว์เป็นกำไร แต่ก็เพียงเพื่อผลทางกำไร เป็นสภาพบังคับที่จำเป็นไม่ใช่ความเคยชิน แสดงให้เห็นถึงความมีเมตตากับชีวิตสัตว์โลก ซึ่งเจ้าสัวในเมืองไทยควรพิจารณาข้อเสนอแนะดังนี้
1. แสดงจุดยืนการเปิดเสรีของวัคซีน โดยใช้มาตรฐานองค์การอนามัยโลก หรือมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากสากลแทนการใช้มาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นการชั่วคราว ในช่วงวิกฤตที่ยังควบคุมไม่ได้ โดย ไม่ต้องการให้มีการสั่งซื้อวัคซีนเพียงที่ตนเองเป็นผู้ผลิต(ถ้ามี) หรือ บริษัทฯที่ตนเองถือหุ้นมีส่วนในผลประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง เป็นผู้ผลิต แต่เพียงเจ้าเดียว
2. ใช้งบประมาณของเจ้าสัวในการซื้อวัคซีนให้กับพนักงานในบริษัทฯ ของตนเอง เพราะพนักงานเหล่านี้ล้วนเป็นผู้มีพระคุณต่อเจ้าสัวที่ทำให้มีกำไรมาเป็นระยะเวลานาน เป็นการตอบแทนคืนกำไรให้พนักงาน และสังคม เชื่อว่าเจ้าสัวทุกคนมีเมตตา น้ำใจต่อคนไทยด้วยกัน และไม่ต้องการให้สังคมตั้งข้อกังขาในสิ่งที่ไม่เป็นจริง
3. เจ้าสัวที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน (ถ้ามี) ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ควรแถลงข่าวฉีดวัคซีนที่ตัวเองมีส่วนนำเข้ามาให้กับตัวเองและครอบครัว เช่น ภรรยาหรือบุคคลที่ยังรักษาอาการป่วยก็สามารถฉีดได้อย่างปลอดภัย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชน เพราะการมีวัคซีนย่อมดีกว่าไม่มี เช่นเดียวกับทางเลือกของวัคซีน และปัจจุบันเมื่อยังไม่ได้ข้อยุติว่าวัคซีนยี่ห้อใดดีที่สุด การสร้างความมั่นใจ แสดงประสิทธิภาพของวัคซีนและการเปิดเสรีทางเลือกจึงเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อมีการแข่งขันจะมีการพัฒนาและประชาชนจะได้รับประโยชน์มากที่สุด
ทั้งนี้ประเทศไทยโชคดีมีเจ้าสัวที่มีความเมตตา ไม่ต้องการค้ากำไรกับกับชีวิตมนุษย์ให้เป็นตราบาปกับตนเองและวงศ์ตระกูล เสียงสรรเสริญย่อมดีกว่าเสียงสาบแช่ง ในปัจจุบันสังคมจะสรรเสริญผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วดึงผู้อื่นขึ้นมาสำเร็จด้วย มีสามัญสำนึกรู้จักการคืนให้กับสังคม(Kindness economy) ไม่ใช่ผู้ที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จ มีทรัพย์สินมากมายแต่กีดกันทางการค้า ทำธุรกิจบาปแบบเห็นแก่ตัวจะกลายเป็นคนบาปที่ไร้ค่า ไม่ได้รับการยอมรับในอนาคต เป็นไวรัสที่ร้ายแรงกว่าโควิด