ข่าวทั่วไปข่าวพาดหัวตรวจสอบทุกข์ชาวบ้านร้องเรียน

กาญจนบุรี – หญิงวัย 37 ปี ร้องขอความเป็นธรรม

กาญจนบุรี หญิงวัย 37 ปี ร้องขอความเป็นธรรม หลังถูกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านล้อมรั้วลวดหนาม ทำคันดินปิดกั้นทางสาธารณะเข้าออกบ้านมานานกว่าครึ่งปี

เจ้าตัวเดินหน้าร้องเรียนนายสาวิตร เจียมจิราพร นายอำเภอไทรโยค จึงออกหนังสือสั่งการให้รื้อสิ่งกีดขว้างทางออกทั้งหมดเพื่อเปิดทางเข้าออก ให้แก่ผู้ร้อง แต่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคู่กรณีกับตีมึน ไม่ปฏิบัติตาม หนังสือสั่งการของนายอำเภอ จึงสร้างความเดือดร้อนในเรื่องการ เข้าออกบ้านลำบาก มาก นางจรรยา ได้กล่าวว่าที่บ้านของตนเองมีลูกสาวที่เรียนออนไลน์พร้อมทั้งเพื่อนลูกที่เป็นนักเรียนที่ต้องเรียนออนไลน์ก็ได้มาอาศัยเรียนออนไลน์ โดยใช้ไวไฟร์ที่บ้านให้เด็กๆได้เรียนกัน โดยการเรียนออนไลน์เด็กๆก็ต้องใช้วิธีเดินเท้าเข้ามา เพื่อจะได้เข้ามาเรียนหนังสื่อทางออนไลน์กัน และทุกวันจันทร์เด็กๆจะต้องขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อนำการเรียนไปส่งคุณครู ก็เดินทางเข้าออกลำบากมาก


เพราะบ้านของตนเองอยู่ติดชายแดน และเป็นบ้านแรกที่มีไวไฟร์ เด็กที่ถูกให้เรียนทางออนไลน์กว่า 10 คน จึงได้รวมตัวกันเดินทางมาเรียนที่บ้านเลขที่ 19 บ้านท่าข้ามสุด หมู่ 8 ตำบลศรีมงคล อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี นางจรรยา ทิพนัส อายุ 37 ปี เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ได้เปิดเผยถึงเรื่องราวที่ตนเองและครอบครัว ถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความเป็นธรรม มาเป็นเวลานานกว่าครึ่งปี หลังจากถูก นายสมบูรณ์ นงนุชผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ตำบลศรีมงคล ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้เคียงกัน นำเอาเสาไม้พร้อมรั้วลวดหนาม มาปิดกั้นทางสาธารณะที่นางจรรยาและครอบครัว ใช้เป็นเส้นทางเข้าออกบ้าน โดยนางจรรยา เล่าว่า เรื่องราวเริ่มขึ้น ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2564 นายสมบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ได้นำเอาเสาไม้มาปักปิดถนนทางสาธารณะทางเข้าบ้านของตนจากนั้น ได้นำเอาลวดหนามมาทำเป็นรั้วลวดหนามปิดทางเข้าออก พร้อมนำเอาดินมาถมเป็นคันดิน ปิดทางเข้าออกเพิ่มเติม ทำให้ตนและคนในครอบครัว ไม่สามรถเดินทางเข้าออกบ้านได้ เมื่อไปพูดคุยกับนายสมบูรณ์ เพื่อขอให้เปิดทางเข้าออกให้ นายสมบูรณ์ก็ไม่ยอม พร้อมอ้างว่า ทางสาธารณะที่ตนใช้สัญจรเข้าออกบ้านนั้น เป็นที่ดินส่วนตัวของนายสมบูรณ์ และนายสมบูรณ์ไม่ยินยอมที่จะให้นางจรรยาและครอบครัว ใช้เดินทางเข้าออกบ้าน ซึ่งนางจรรยาเอง ก็ยืนยันว่า

ทางที่ตนเองใช้เข้าออกบ้านนั้น เป็นทางสาธารณะดั้งเดิม ที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้กันมานาน ตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ที่ยังไม่มีการสร้างถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้าน โดยเมื่อมีการสร้างถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่มีที่ติดถนนก็สามารถใช้ถนนคอนกรีตในการสัญจรไปมาได้ แต่บ้านของตนไม่มีที่ดินติดถนนคอนกรีต จึงจำเป็นต้องใช้ทางสาธารณะเดิมที่มีเส้นทางผ่านหน้าบ้านของนายสมบูรณ์ในการเดินทางเข้าออกไปยังถนนคอนกรีต ซึ่งหลังการเจรจากับนายสมบูรณ์ไม่เป็นผล ตนและครอบครัว จึงได้เดินหน้าทำเรื่องร้องเรียนกับทางศูนย์ดำรงธรรมอำเภอไทรโยค ซึ่งนายอำเภอไทรโยคก็ได้รับเรื่องและส่งเจ้าหน้าที่ของทางอำเภอ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลศรีมงคล ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ เดินทางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าเส้นทางสาธารณะที่นายสมบูรณ์มาล้อมรั้วปิดกั้น เป็นทางสาธารณะจริงหรือไม่ โดยตรวจสอบจากเอกสารการเสียภาษีบำรุงท้องที่ การสำรวจภาพถ่ายทางอากาศจากในอดีต เปรียบเทียบกับปัจจุบัน รวมถึงทำการสอบถามข้อมูลจากผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งหลังจากใช้เวลาตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่นานหลายเดือน ทางศูนย์ดำรงธรรมอำเภอไทรโยค ก็ได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบ ซึ่งยืนยันชัดเจนว่า ทางที่ตนเองใช้เข้าออกบ้านและถูกนายสมบูรณ์มาล้อมรั้วปิดกั้นนั้น เป็นทางสาธารณะจริง ทางนายอำเภอไทรโยค จึงมีหนังสือแจ้งไปยังนายสมบูรณ์ให้ทำการรื้อถอนรั้วลวดหนามและสิ่งกีดขวางออก เพื่อเปิดทางให้สามารถใช้สัญจรไปมาได้ ขณะที่ ทางองค์การบริหารส่วนตำบลศรีมงคลเอง ก็ได้ทำหนังสือแจ้งกับนายสมบูรณ์ ให้ทำการรื้อถอนสิ่งกีดขวางและเปิดทางเช่นกัน แต่นายสมบูรณ์เอง ก็ยังดื้อแพ่งไม่ยอมรื้อถอนรั้วลวดหนามและสิ่งกีดขวางออก ทำให้นางจรรยาและครอบครัว ไม่สามารถใช้ทางสาธารณะดังกล่าวเข้าออกบ้านได้มานานกว่าหกเดือนแล้วทุกวันนี้ ต้องใช้วิธีจอดรถที่ริมถนนคอนกรีตและเดินเท้าลัดเลาะมาตามที่ดินของเพื่อนบ้าน เพื่อเข้าบ้านตนเอง ทุกวันนี้ตนและครอบครัวต้องประสบความเดือดร้อนอย่างหนัก เวลาจะออกจากบ้านไปไหนในเวลากลางคืน ก็ต้องเดินลัดเลาะฝ่าความมืดออกไป ไม่รู้ว่าจะถูกสัตว์มีพิษกัดหรือเกิดอันตรายขึ้นเมื่อไหร่

ยิ่งในช่วงนี้ ลูกสาวของตนและเพื่อนนักเรียน ซึ่งอยู่ในช่วงของการเรียนออนไลน์และต้องมาอาศัยใช้ไวไฟร์ที่บ้านของตนในการเรียนออนไลน์ ก็ไม่สามารถขี่รถเข้ามาจอดที่บ้านของตนได้ ต้องใช้วิธีจอดรถริมถนนและเดินเท้าเข้ามา เพื่อจะสามารถเรียนออนไลน์และรับงานจากครูผู้สอนได้ นางจรรยา ได้กล่าวอีกว่า จนถึงขณะนี้ นายสมบูรณ์ก็ยังคงไม่ยอมรื้อถอนรั้วและสิ่งกีดขวางออกไป แม้ทางอำเภอไทรโยคและองค์การบริหาสรส่วนตำบลศรีมงคล จะเข้ามาช่วยเจรจาและแจ้งผลการตรวจสอบของศูนย์ดำรงธรรมให้นายสมบูรณ์ทราบแล้วก็ตาม แต่นายสมบูรณ์ก็ยังไม่ยอมให้มีการรื้อถอน โดยอ้างว่าทางสาธารณะดังกล่าวเป็นที่ดินส่วนบุคคลของนายสมบูรณ์และอ้างว่าการตรวจสอบของทางศูนย์ดำรงธรรมอำเภอไทรโยคไม่เป็นธรรม ทำให้ทุกวันนี้ ครอบครัวของนางจรรยา จึงยังไม่สามารถใช้เส้นทางสาธารณะดังกล่าวได้ และไม่รู้ว่าจะเดินหน้าไปร้องเรียนที่ไหนต่อ นางจรรยาและครอบครัว จึงอยากเปิดเผยเรื่องราวความไม่เป็นธรรมดังกล่าวให้กับสังคมได้รับรู้ และหวังว่าจะมีหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจในจากจัดการเข้ามาช่วยเหลือให้ครอบครัวของเธอผ่านพ้นการถูกปิดทางเข้าออกในครั้งนี้ไปได้
เกษร เสมจันทร์