ข่าวพาดหัวทุกข์ชาวบ้านร้องเรียน

สิงห์บุรี – หลานสาวโวย! หมอพูดต่อหน้าผู้ป่วยติดเตียงถึงขั้นตอนการรักษา “เลือกเอาจะตายด้วยวิธีไหน”

สิงห์บุรี 291264 หลานสาวโวย! หมอพูดต่อหน้าผู้ป่วยติดเตียงถึงขั้นตอนการรักษา “เลือกเอาจะตายด้วยวิธีไหน”

วันที่ 29 ธันวาคม 2564 เวลา 14.30 น. ตามที่มีการแชร์และแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากในโลกโซเชี่ยลเฟซบุ๊กส์ของ Ploy Pinpinat ว่า “… วันนี้ย่ามีนัดที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ตั้งแต่ย่าผ่าตัดสมองทางเราดูแลและฟื้นฟูย่ามาเกือบ 3 เดือน จนตอนนี้พูดได้ ขยับตัวได้ ยกแขนยกขาได้ และล่าสุดวันนี้เจอหมอคนนึงห้องเบอร์ 6 รอคิวอยู่พักใหญ่ๆ เข็นย่าเข้าไปหมอถามว่าเป็นไงมั่ง พลอยเลยตอบหมอว่าเริ่มขยับตัวได้ค่ะพูดได้บ้าง แล้วหมอก็บอกว่าค่าเลือดต่ำลง จาก 28.7 เหลือ 24.5 เนื่องจากฉีดยาละลายลิ่มเลือด หมอถามว่าจะเอายังไงจะหยุดฉีดไหม ถ้าฉีดเลือดก็จะจางแต่ถ้าหยุดปอดก็จะหายใจไม่ได้ พลอยไม่รู้เลยถามว่า ขอคำปรึกษาจากคุณหมอได้ไหมคะ หมอตอบว่า “ไม่ต้องมาปรึกษาไม่ได้รับปรึกษา ไปตัดสินใจเอาเลยว่าจะเอายังไง เลือกเอาว่าเลยว่าจะเสียชีวิตด้วยวิธีไหน” เราก็ย้ำอีกว่า “ทางไหนน่าจะดีคะบ้างคะหมอ” หมอก็พูดอีกว่า “เลือกเอาจะเสียชีวิตด้วยวิธีไหน” แล้วตัวย่าเข้าไปจากที่ยิ้มอยู่ก็หน้าเสียไปเลย สงสารย่ามากที่ต้องมาเจออะไรแบบนี่ พลอยกายภาพบำบัดดูแลเอาใจใส่กว่าจะได้ขนาดนี้ใช้เวลาหลายเดือน มาหาหมอวันนี้วันเดียวจิตใจย่าต้องทรุดเพราะคำพูดของหมอ คุณจะรับผิดชอบจิตใจคนป่วยติดเตียงแบบไหน ควรใช้คำพูดอะไรกับหมอแบบนี้ได้มั่ง”

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ที่บ้านเลขที่ 88 ม.13 ต.โพธิ์ชัย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี บ้านของ นาง อารมณ์ โล่ห์อนันต์ อายุ 74 ปี ผู้ป่วยติดเตียงจากการป่วยเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งเป็นย่าของ น.ส.ปิ่นปินัทธ์ โล่ห์อนันต์ อายุ 32 ปี เจ้าของเฟซบุ๊กซ์ดังกล่าวได้เล่าว่า “เมื่อวานนี้ (วันที่ 28 ธ.ค.64) ตนได้พาย่าไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ถ.ขุนสรรค์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ตามแพทย์นัด หลังจากที่ย่าได้เกิดป่วยจากการเส้นเลือดในสมองแตก ทางญาติได้นำตัวส่งโรงพยาบาลสิงห์บุรี และทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้นำตัวส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์โดยนำตัวย่าเข้ารักษาที่ห้องไอซียูทันที รักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์จนเกือบ 3 เดือนโดยแพทย์ทาง รพ.ธรรมศาสตร์ บอกว่า 6 เดือนขึ้นไปถึงจะฟื้นฟูได้ หลังจากนั้นก็นำตัวย่ามาดูแลต่อที่บ้าน โดยอาการที่เป็นคือ พูดไม่ได้ ขยับแขน ขา ตัวไม่ได้ ตน ปู่ และลูกหลานคนอื่นได้ช่วยกันดูแลทำกายภาพบำบัด โดยเฉพาะตนพูดกับย่าทุกวันว่า ย่าต้องอ้าปากนะ ย่าถึงจะหาย ย่ายกขานะ ย่าถึงจะหาย จนเกือบ 2 เดือน ย่าถึงพูดได้ ยกแขน ยกขาได้ ขยับตัวได้ พอเมื่อวานพาย่าไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ตามใบนัด แล้วเจอคำพูดจากแพทย์หญิงที่ไม่แม้กระทั่งลุกมาดูอาการคนไข้ด้วยตัวเอง ได้แต่อ่านค่าผลเลือดจากที่เจาะเลือดไปตรวจ แล้วบอกกับตนว่า “จากที่ต้องฉีดยาละลายลิ่มเลือดเป็นประจำนั้น ค่าเลือดต่ำลง จาก 28.7 เหลือ 24.5 หมอถามตนว่าจะเอายังไง จะหยุดฉีดไหม ถ้ายังคงฉีดยาต่อ เลือดก็จะจางลงแบบนี้ แต่ถ้าหยุดฉีดยา ปอดก็จะหายใจไม่ได้” ตนไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจยังไงจึงถามว่า ขอคำปรึกษาจากคุณหมอได้ไหมคะ แต่แพทย์หญิงท่านนั้นตอบว่า “ไม่ต้องมาปรึกษา ไม่ได้รับปรึกษา ไปตัดสินใจเอาเลยว่าจะเอายังไง เลือกเอาว่าเลยว่าจะเสียชีวิตด้วยวิธีไหน” เราก็ยังย้ำด้วยความคิดอะไรไม่ออกอีกว่า “ทางไหนน่าจะดีบ้างคะหมอ” หมอก็พูดอีกว่า “เลือกเอาจะเสียชีวิตด้วยวิธีไหน” ตนจึงต้องตัดสินใจตามที่หมอโรงพยาบาลธรรมศาสตร์สั่งคือ ฉีดยาละลายลิ่มเลือดต่อ หันไปมองย่าแล้วก็เสียใจเพราะตอนที่ย่ามาหาหมอยังเปิดแมสยิ้มให้หมอดูอยู่เลย แต่หลังจากได้ยินคุณหมอพูดแบบนั้นแล้ว ย่าก็หน้าเสียมีอาการซึมไปเลย แล้วย่าก็พูดกับตนว่า “กลับบ้าน” ตนจึงพาย่ากลับมารักษาตัวที่บ้าน ตนและญาติๆ เสียความรู้สึกมาก จึงมาโพสต์ที่เฟซบุ๊กส์ของตนดังกล่าว

น.ส.ปิ่นปินัทธ์ เล่าต่อว่า “จากที่ตนกับญาติๆ ช่วยกันทำกายภาพให้ย่ามาเกือบ 2 เดือนหลังกลับจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ จนย่าเริ่มดีขึ้นแต่พอเมื่อวานได้ฟังหมอพูดเพียง 5 นาที ย่าซึมไปเลย ไม่ยอมพูด ไม่ยอมขยับตัวอะไรทั้งนั้น จนมาเช้านี้ถึงได้เริ่มพูดและขยับตัว ตนอยากฝากถึงทางผู้บริหารของทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีว่า ตนและคนอื่นๆ อีกหลายคน (จากการแสดงความคิดเห็นในโพสต์ที่ตนโพสต์) ว่าพยาบาลหรือหมอพูดจายังไง วันนึงตนก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกับตัวเอง ตนไม่อยากให้ทำแบบนี้กับใครอีก หรืออยากให้ย้ายแพทย์หรือพยาบาลคนที่พูดไม่ดีไปเลย และตนก็อยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับย่าของตนนั้นเป็นเคสตัวอย่างที่เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย คนไข้ที่ป่วยต้องการกำลังใจมากกว่าการเสียกำลังใจ และถึงแม้วันนี้ได้รับการติดต่อมาจากทางคณะผู้บริหารของโรงพยาบาลสิงห์บุรี และได้เข้ามาดูอาการของย่า และขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และได้แจ้งว่า “ได้เรียกแพทย์หญิงท่านนั้นไปคุยแล้วและจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” แต่ตนยืนยันว่าต้องการให้แพทย์หญิงท่านนั้นมาขอโทษย่า มาอธิบายกับย่าเพื่อให้กำลังใจย่าดีขึ้น เพราะไม่รู้ว่านอกจากตนแล้วที่เจอคำพูดแบบนี้แล้วจะมีใครที่เจออีกไหม?

ซึ่งทางผู้สื่อข่าวได้ติดต่อจะขอสัมภาษณ์กับแพทย์หญิงคนดังกล่าว แต่ได้รับคำตอบว่า ไม่ขอให้สัมภาษณ์ใดๆ ให้คุยกับทางผู้บริหารคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล จึงได้ติดต่อกับ นายแพทย์พงษ์นรินทร์ ชาติรังสรรค์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี ซึ่งสะดวกให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ได้ชี้แจงว่า “เหตุการณ์ดังกล่าว ที่เกิดขึ้นตนคิดว่าเป็นเรื่องของการบริการที่สื่อความหมายหรือการพูดที่ไม่เหมาะสมไปบ้าง และได้ส่งทีมผู้บริหารไปพบกับทางผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยแล้ว และได้มีการขอโทษไปแล้ว ตนได้ส่งแพทย์อาวุโสไปเพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีในเรื่องของการรักษากับทางญาติผู้ป่วย ทางญาติผู้ป่วยก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะทางญาติเขาก็ถือว่าเดี๋ยวก็ต้องมาใช้บริการทางการแพทย์กับทางโรงพยาบาลอีก และตนได้เรียกแพทย์หญิงท่านนั้นมาคุยว่า การสื่อสารกับผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยต้องระมัดระวังนิดหนึ่งในเรื่องการเกิดความเข้าใจที่ไม่เหมาะสม และการบริการมีข้อบกพร่อง สำหรับเรื่องที่ทางญาติผู้ป่วยโพสต์ทางโซเชี่ยน ทางโรงพยาบาลก็จะนำเรื่องที่เขานำเสนอมา เอามาเป็นเรื่องที่จะต้องประชุมคุยกัน เอามาเป็นโอกาสในการพัฒนาในเรื่องของการสื่อสารกับคนไข้ในโรงพยาบาลให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความพึงพอใจในการบริการของทางโรงพยาบาลต่อไป

จินตนา ปานมี ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สิงห์บุรี