สาวใหญ่ร้องสื่อ สามีป่วยหนักมั่นใจว่าเป็นผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเข็ม 2 ย่านราษฎร์บูรณะ
วันที่ 29 มกราคม 2565
เวลา 17.00 น.
นางสาว ธนชยา คงมาก อายุ 49 ปี ร้องทุกข์กับสื่อที่บ้านเลขที่ 168/35 ซอยตรงข้าม สน.ราษฎร์บูรณะ แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ให้ช่วยเป็นกระบอกเสียงขอความเป็นธรรม เมื่อสามีหนุ่มใหญ่วัย 51 ปี ต้องมาป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย คาดว่าจะไม่มีโอกาสรอดแล้ว ส่วนตนเองต้องตกงานจากพิษโควิด ทำให้ทำมาหากินไม่ได้ จากเคยประกอบอาชีพเป็นหมอนวดแผนไทย และตอนนี้ก็ติดหนี้ค่าไฟเป็นเงิน 12,432 บาท จึงอยากขอความช่วยเหลือ และขอความเป็นธรรมให้กับตนเองและครอบครัวในเรื่องที่สามีผู้เป็นเสาหลักของครอบครัว ต้องมาป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย เพราะไปรับการฉีดวัคซีน เข็มที่ 2 จึงต้องทำให้เป็นแบบนี้แน่นอน
จากการสอบถาม น.ส.ธนชยา คงมาก อายุ 49 ปี บอกว่า ตนเป็นภรรยาของนาย ไพศาล เอี่ยมศรี อายุ 51 ปี ซึ่งป่วยหนัก เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะเฉียบพลัน หลังจากไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิดกลับมาได้ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้สามีตนเป็นคนแข็งแรง โรคประจำตัว ไม่มี ตรวจร่างกายวัดความดัน เจาะเลือด เป็นความดันบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับหนักหนาอะไร เป็นหลอดเลือดตีบก็รักษาหายแล้วตรวจล่าสุดก็ไม่พบ ปกติดีแล้ว ประกอบอาชีพอิสระ รับเหมาต่อเติมบ้าน เป็นเสาหลักของครอบครัวเลย ตนเป็นหมอนวดแผนโบราณ ตนอ่ะ ไม่ค่อยแข็งแรง ปวดขา ตั้งแต่สถานการณ์โควิดรอบแรก ตนก็ไม่ได้ทำงานนวดอีกเลย ก็ออกมารับจ้างทำงานบ้านทั่วไป ตามบ้านคนที่เค้าจ้าง เป็นวันๆไป ลุกนั่งบ่อยๆ หน้าก็มืด ก็ทำไม่ไหวแล้ว พอสามีตนมาป่วยหนักแบบนี้ยิ่งขาดรายได้อย่างหนักเลย เพราะถ้าสามียังปกติดีอยู่ ก็จะออกไปทำงาน ตนก็อยู่ดูแลลูกสาวคนเล็ก ซึ่งยังเรียนหนังสืออยู่ จะปล่อยให้อยู่คนเดียวก็อันตราย ทุกวันนี้ก็เรียนระบบออนไลน์ ใช้เติมอินเตอร์เน็ท ค่าไฟตอนนี้ตนก็ติดเค้ามา 7 เดือนแล้วรวมๆก็หมื่นกว่าบาท เค้าจะมายกหม้อวันไหนยังไม่รู้เลย ข้าวสารตนยังติดร้านค้าเค้าอยู่เลย ดีว่า เค้ายังให้ติดได้ มีค่อยเอามาจ่ายเค้า ส่วนบ้านที่ตนอยู่ อยู่กันตั้งแต่ปี 2535 มีลูกด้วยกัน 4 คน คนโตเป็นผู้ชายเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้เหลือ 3 คน 2 คนมีครอบครัวก็แยกย้ายกันออกไป นานๆจะมาหาที ต่างก็ประสบปัญหาเหมือนกัน ส่วนลูกคนเล็ก เป็นลูกหลงมา ห่างจากพี่ๆเค้า สิบกว่าปี ตอนนี้อายุ 11 ปี กำลังเรียนอยู่ บ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านที่ซื้อต่อจากเจ้าของเก่าเค้ามา แต่ต้องเสียค่าหน้าดินต่อสัญญา 3 ปี 4 พัน ค่าเช่าที่รายเดือน เดือนละ 200 บาท ถ้าไม่มีไว้รวมๆกันจ่ายทีเดียวได้ แต่ก็เป็นเงินก้อนจำนวนเยอะอีก ส่วนหนี้สินก็มีจากนอกระบบ ประมาณยืมเค้ามาแต่เค้าก็คิดดอกเบี้ยเหมือนกัน ยอดประมาณ 5 พันบาท ส่วนเรื่องสามีตน ตนเคยไปยื่นเรื่องที่เขต ส่งเอกสารไป เรื่องก็เงียบจนตนต้องไปตามเรื่อง เจ้าหน้าที่ก็ไปรื้อข้อมูลดูแล้วตอบกลับมาว่า ไม่ผ่านเกณฑ์ตนก็ไม่รู้จะทำไง มีพยาบาลคนนึงที่สามีตนไปรักษาเค้าก็แนะนำให้ไปยื่นเรื่องที่ สปสช. ตนก็ยื่นเอกสารไป เพิ่งตอบกลับมาว่า ไม่ผ่านเช่นกัน ตนก็ยิ่งเครียดหนักไปอีก ไม่รู้จะทำไงแล้ว คือตนมั่นใจว่า อาการที่สามีตนเป็นเกิดจากผลข้างเคียงของวัคซีน แต่พอไปหาหมอ หมอกลับบอกว่ามาจากโรคประจำตัว ตนก็บอกก่อนหน้านี้ไม่เป็นนะ หรือว่า อาจจะเป็น แต่พอได้รับวัคซีนเข้าไปเลยไปกระตุ้นให้อาการหนักขึ้นหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ตรวจไม่เจอ แต่ตอนนี้หมอบอกเป็นระยะเฉียบพลัน ซึ่งจะเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ก่อนหน้าที่ฉีดวัคซีนเป็นคนกินเก่ง แข็งแรง พอไปฉีดวัคซีนกลับมา กลับมีอาการแน่นหน้าอก กินอะไรไม่ได้ แขนขาไม่มีแรง แต่เค้าก็ทน คิดว่าไม่เป็นไร จนมาวันนึงเค้าเข้าห้องน้ำ ออกมาบอกว่า พาไปหาหมอหน่อย ไม่ไหวแล้ว แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก แล้วก็เริ่มทรุดลงทุกวัน ทุกวัน จนร่วม 2 เดือนมานี่แล้ว พยาบาลโทรมาเมื่อวานบอกคนไข้เริ่มจะไม่ไหวแล้วนะ ตัองใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว ตนก็ปรึกษาทางญาติๆว่า ไม่อยากให้เค้าทรมานแล้ว สงสารเค้า อยากจะวิงวอนขอหน่วยงานไหนก็ได้ช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวตนหน่อย ตนไม่รู้จะไปยื่นขอความช่วยเหลือจากไหนแล้ว
เบื้องต้นทางด้านนางสาว ธนชยา ก็ไม่ได้คาดหวังว่าตนเองจะได้รับการตอบรับถึงเรื่องของการที่ตนเองออกมาเรียกร้องในครั้งนี้ แต่อยากจะขอให้หน่วยงานไหนก็ได้ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือเยียวยาเธอบ้างเพราะตนเองก็ไม่มีงานทำแล้วต้องเลี้ยงลูกที่อยู่ในวัยกำลังเรียนและกำลังจะโตเป็นสาว ส่วนช่วงนี้ค่าไฟที่ค้างอยู่ถึง 7 เดือนทางการไฟฟ้าก็ยังไม่ได้มาตัด แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาตัดตอนไหน ถ้าเกิดไฟฟ้าต้องถูกตัดลงชีวิตตนกับลูกจะลำบากมาก แล้วช่วงนี้ลูกสาวต้องเรียนในระบบออนไลน์ ค่าอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีต้องอาศัยเติมเน็ตเป็นรายวัน แล้วอีกอย่างตนเองก็เป็นหนี้เงินกู้นอกระบบอีก 5000 บาท ดอกเบี้ยอีกร้อยละ 20 บาท ชีวิตตอนนี้ลำบากมากไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว จึงอยากจะวอนขอความเมตตา จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาช่วยตนด้วย
โชติกา ม่วงใจรักษ์ ผู้สื่อข่าว กทม.