ข่าวทั่วไปข่าวพาดหัวทุกข์ชาวบ้าน

กรุงเทพฯ – ช่างวาดภาพถูกเจ้าของบ้านเป็นอัลไซเมอร์เดินเก็บค่าเช่าวันเว้นวัน ย่านเอกชัย

ช่างวาดภาพถูกเจ้าของบ้านเป็นอัลไซเมอร์เดินเก็บค่าเช่าวันเว้นวัน ย่านเอกชัย

วันที่ 11 มีนาคม 2565
เวลา 18.40 น.

เจ้าของร้านคาเฟ่ขี้คุกเขียนรูป ที่ตั้งอยู่บริเวณปากซอยเอกชัย ซอยที่ 8 ถนน เอกชัย แขวง บางขุนเทียน เขต จอมทอง กรุงเทพมหานคร ร้องเรียนถึงการที่ถูกเจ้าของบ้านที่ตนเองเช่าเพื่อเปิดร้านเพียงไม่ถึงเดือนเดินมาทวงค่าเช่าบ้านทุกวันและไม่เว้นวัน แล้วยังมาไล่ออกจากบ้านแถมท้าให้ไปแจ้งความด้วยทั้งๆที่ตนเองเพิ่งจะเช่าบ้านยังไม่ถึงเดือนแล้วยังเพิ่งจะรีโนเวทบ้านใหม่จนบ้านหลังดังกล่าวเคยมีสภาพทรุดโทรมจนตอนนี้กลับมีสภาพที่สวยงามและน่าอยู่อาศัยมากขึ้น จนคิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมกับเจ้าของบ้านและคิดว่าเจ้าของบ้านอาจจะเป็นพวกมิจฉาชีพมาหลอกให้ตนเช่าบ้านและซ่อมบ้านให้ใหม่จนเสร็จแล้วจะไล่ออกจากบ้านก็เป็นได้จึงเป็นที่มาของการร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนให้ช่วยเหลือและตีแผ่ความจริงให้สังคมได้รับรู้ว่าตนถูกเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวรังแกและมีมาทวงเงินค่าเช่าบ้านทุกๆเช้าแล้วยังมาทวงทุกๆวันอีกด้วยตนได้รับความอับอายและเดือดร้อนมาก

จาการสอบถามนาย วรรณวัฒน์ หาญรุ่งเรื่องกิจ อายุ 40 ปี
บอกเล่าว่า ตนเป็นคนแถวนี้แหละ พอตนออกจากเรือนจำ ก็หนีสภาพเดิมๆ ไปหาเช่าบ้านอยู่แถวสวยสยาม ทำวาดรูป พอมีรายได้ ตนก็นึกถึงเพื่อนนึกถึงคนที่บ้านตน ตนจึงกลับมาหาเช่าบ้าน เพื่อให้เพื่อนหรือคนที่พ้นโทษออกมา มีอาชีพ แล้วตนก็มาเจอบ้านหลังนี้ ซึ่งตอนแรก ตนอยากได้บ้านติดถนนอยู่แล้ว ก็เจอบ้านหลังนี้ ข้างหน้าตนก็ให้เพื่อนมาขายอาหารหน้าร้าน แล้วนำอาหารเข้ามานั่งทานในร้านได้ ส่วนชั้น 2 ตนทำเป็นแกลอรี่วาดภาพของตน ตนจึงตกลงเช่นที่นี่ ตนจึงติดต่อไปตามเบอร์ที่ติดไว้หน้าบ้าน โทรไปสอบถามรายละเอียด ตกลงเช่าเดือนละ 7 พัน มีแอร์ตัวนึง ตนก็โอเคมัดจำบ้านไป ตนก็ทะยอยขนของเข้าบ้านไป แล้วก็มีสัญญาเช่าตึกฉบับแรก 7 พันบาท แต่ใบนี้ เค้าเอาคืนไป แล้วเปลี่ยนสัญญาเป็น 1 หมื่นบาท หลังจากตนได้บ้านแล้วตนก็ปรับปรุงร้านใหม่ให้เป็นตัวเรามากที่สุด ตนทำหมดไปทั้งหมด 6-7 หมื่นบาท แอร์ที่บอกว่ามี ก็ใช้ไม่ได้ ตนก็ไปซ่อม หมดไป 5 พันบาท ตนก็ไม่เคยไปหักหรือขอเบิกอะไรจากเจ้าของบ้านเลย ตอนนี้เนี่ย คนที่พ้นโทษหรือออกจากคุกมา เค้าก็มาขายของหน้าร้าน พอขายดีขายได้ คนเริ่มพุกพ่าน คนเริ่มเยอะ พอตนอยู่ไปประมาณ เดือนนึง เค้าก็ขอเข้ามาดูบ้าน

ทั้งหมด และขอขึ้นค่าเช่า เป็น หมื่นสาม ตนก็บอกถ้าพี่จะขึ้นค่าเช่า หรือจะไล่ตนออก พี่ไปดูหน้าร้าน คนที่มาขายของ ตนไม่ได้ไปเก็บค่าเช่าค่าอะไรเค้าเลย ถ้าตนย้ายออกไป ตนไม่ได้มีผลกระทบแค่คนเดียว คนขายหน้าร้านตนล่ะ เค้าจะไปขายที่ไหน ตนไม่ได้เก็บค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟกับเค้าเลย พี่เค้าบอกงั้นขอเก็บเดือนละ หนึ่งหมื่น ตนก็บอกโอเค หมื่นนึงตนให้ได้ เค้าก็เลยเขียนสัญญาฉบับที่ 2 มาให้ตน ในราคา หนึ่งหมื่นบาท และเอาสัญญาใบแจกเก็บทิ้งเลย ตนก็ไม่ได้ถ่ายฉบับแรกไว้ เพราะไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ หลังจากนั้น เค้าก็มาไล่ตนออกจากบ้านแถบทุกวัน เค้าบอกว่า ให้ฉีกสัญญาทิ้งแล้วออกจากบ้านไปเลย มาทุกวัน จนคนแถวนี้บอกไม่มีใครอยู่บ้านหลังนี้ได้ พอมาถึงก็ไล่ๆ ตนก็บอกอะไรเนี่ยเป็นมิจฉาชีพหรือป่าว ตนไม่อยากคิดว่า ตนมาทำบ้านให้สวยแล้วจะไม่ให้ตนอยู่ เค้าไม่มีเหตุผลที่จะบอกเราให้ออกได้ ตนก็บอกให้บอกเหตุผลมาสิ ถ้ามีเหตุผล ตนจะยอมออกให้ แต่นี่ไม่มี ตนไม่ทราบว่าเค้าจะมีปัญหาอะไร ก็อยากให้เข้าใจว่าตนเป็นผู้เช่า ตนมีสัญญาถูกต้อง ตนแค่อยากให้คนอย่างตนมีที่ยืนในสังคม มีพื้นที่เล็กๆทำมาหากิน เพื่อจะได้ไม่ต้องมีปัญหาทางสังคม ตนต้องการต้อนให้คนแบบพวกตน มีทุนประกอบอาชีพเลี้ยงชีพอยู่ได้เท่านั้นเอง ตนก็ไม่ทราบจุดประสงค์ที่เค้าทำ เค้าทำเพื่ออะไร แต่คือมาทุกวัน บางวันมานั่งคุกเข่าอยู่กลางถนนเลยนะ แล้วร้านตนเป็นร้านอาหารคนในร้านจะคิดยังไง แล้วเค้าเห็นรอยสัก เค้าก็กลัวกันอยู่แล้ว เค้าจะคิดยังไง ลูกค้าก็กลัวกันอยู่แล้ว

ส่วนเบื้องต้นทางเจ้าของร้านดังกล่าวได้นำหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาเช่าซื้อ และเอกสารต่างๆอีก 2 ฉบับ นำมายื่นให้กับผู้สื่อข่าวดูเพื่อยืนยันความถูกต้องของตนเองส่วนตอนนี้ตนเองได้รับความเดือดร้อนจากเจ้าของบ้านรายนี้เป็นอย่างมากซึ่งตนเองยอมรับว่าเคยติดคุกมาก่อนแล้วพยายามที่จะกลับเนื้อกลับตัวมาเป็นคนดีก็เลยมาเช่าบ้านหลังดังกล่าวเพื่อเปิดร้านอาหารให้เพื่อนๆ ที่พ้นโทษออกมามีรายได้มีอาชีพ แล้วด้านบนชั้นสองของตัวบ้านก็จะดัดแปลงเป็นแกลอรี่เพื่อจัดแสดงผลงานภาพวาดของตนเองและขายให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบผลงาน ผลงานศิลปะของตนเอง แต่ตอนนี้ต้องกลับมามีปัญหากับเจ้าของบ้านแบบนี้ ส่วนในตอนนี้ตนเองยังคิดอะไรไม่ออกจึงได้นำเรื่องราวของตนเองที่ถูกเจ้าของบ้านกระทำได้ลงในสื่อโซเชียลติ๊กต๊อกเพื่อให้สังคมนั้นเข้าใจตนว่าตนนั้นได้ถูกรังแกแบบนี้ ก็อยากจะขอความเห็นใจกันบ้าง ส่วนตอนนี้ยังไม่ได้แจ้งความเพื่อดำเนินคดีใดๆกับทางเจ้าของบ้านแต่จะรอดูว่าเจ้าของบ้านคนดังกล่าวจะมาหาเรื่องตนอีกหรือไม่ถ้ามาอีกครั้งก็จะไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายกับเจ้าของบ้านคนดังกล่าวต่อไป

โชติกา ม่วงใจรักษ์ ผู้สื่อข่าว กทม.