โรงเรียนไพโรจน์วิชชาลัยจัดพิธีไหว้ครู เพื่อเป็นการระลึกนึกถึง
คุณครูบาอาจารย์ที่ได้สั่งสอนอบรมศิษย์เพื่อความเป็นสิริมงคล
เมื่อเวลา9.00น.วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2566 โรงเรียนไพโรจน์วิชชาลัย
ได้จัดพิธีไหว้ครูขึ้น ณ อาคารเอนกประสงค์โรงเรียน เพื่อเป็นการระลึกนึกถึง
คุณครูบาอาจารย์ที่ได้สั่งสอนอบรมศิษย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยได้รับเกียรติจาก
นายจีรวัฒน์ ภูอาบทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนมาเป็นประธานเจิมหนังสือ รับพาน
และกล่าวให้โอวาทกับนักเรียน โดยมีคณะคุณครู นักเรียน และศิษย์เก่าร่วมในพิธีดังกล่าวพิธีไหว้ครูหรือบูชาครูเป็นพิธีที่สำคัญตามประเพณีไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ และมี
อยู่ในแทบทุกสาขาอาชีพของคนไทย โดยจัดขึ้นเพื่อให้ศิษย์ได้แสดงความกตัญญูกตเวที
แสดงความเคารพ ยอมรับนับถือ ต่อครูอาจารย์ว่า ท่านเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
และความรู้ ศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการ จึงพร้อมใจกันปวารณาตัวรับการ
ถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยความวิริยะอุสาหะ เพื่อให้บรรลุปลายทางแห่งการ ศึกษาตามที่ตั้ง
ใจเอาไว้ และการที่ศิษย์แสดงความเคารพ ยอมรับนับถือครูตั้งแต่เบื้องต้น ก็มีส่วนทำให้ครู
เกิดความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ อยากมอบวิชาความรู้ให้อย่างเต็มที่ พิธีไหว้ครูจึงเป็น
เหมือนการประกาศความผูกพันระหว่างครูกับศิษย์ที่จะมั่นคงยืนยาวตลอดไป
ตามประเพณีพิธิ์ใหว้ครูที่มีมาแต่โบราณนี้ ผู้เป็นศิษย์มักจะมีการเตรียมดอกไม้
และสิ่งของต่างๆ 4 อย่าง มาเป็นเครื่องบูชาครู ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีนัยยะสำคัญ อันเป็นมงคล
และเป็นข้อเตือนใจให้กับผู้เป็นศิษย์ ได้แก่
– หญ้าแพรก หมายถึง ขอให้ศึกษาเรียนรู้ได้เร็วเหมือนหญ้าแพรกที่โตได้เร็วและ
ทนต่อสภาพดินฟ้า อากาศ ทนต่อการเหยียบย่ำ ซึ่งเปรียบเสมือน คำว่ากล่าวตักเตือนของ
– ดอกเข็ม หมายถึง ขอให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เหมือนชื่อของดอกเข็ม
– ดอกมะเขือ หมายถึง ขอให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เหมือนดอกมะเขือที่คว่ำ
ดอกลงเสมอเมื่อจะออกผล
– ข้าวตอก หมายถึง ขอให้ตั้งใจรับการอบรมจากครูอาจารย์ เพราะในการศึกษา
ครูต้องอบรมศิษย์ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ด้วย “อบเพื่อให้สุก รมเพื่อให้
หอม” เช่นเดียวกับการทำข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก
นักเรียนหลายคนในที่นี้ คงจะพอทราบว่าคำว่า “ครู” นั้นมาจากคำว่า ครุ (คะ-?)
ที่แปลว่า “หนัก” ทั้งนี้เพราะผู้เป็น “ครู” จะต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจอย่างหนักยิ่ง
กว่าที่จะอบรมสั่งสอนให้คน ๆ หนึ่งเติบโตเป็นผู้มีวิชาความรู้ และเป็นคนดีของสังคม และ
ด้วยเหตุนี้ครูจึงเป็นบุคคลที่สังคมไทยให้การยกย่องเสมือนพ่อแม่คนที่สองของศิษย์
ครูบาอาจารย์อย่างไรก็ตาม นักเรียนอาจจะเคยได้ยินคำเปรียบเทียบว่า อาชีพของครูนั้น
เหมือนกับเรือจ้าง ที่มีหน้าที่ส่งศิษย์ให้ไปถึงฝั่งฝันหรือฝั่งแห่งความสำเร็จ คำกล่าวนี้
อาจจะถูกต้องเพียงแค่ครึ่งเดียว ทั้งนี้เพราะ การศึกษาที่มีครูเป็นผู้ป้อนความรู้ข้อมูลต่าง ”
ให้ผู้เรียนรับเพียงฝ่ายเดียวนั้น ไม่สามารถจะทำให้การศึกษาสัมฤทธิ์ผลอย่างเต็มที่ การ
เรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพผู้เรียนควรต้องให้ความร่วมมือกับครูผู้สอนมีความใฝ่ใจใน
การศึกษา เชื่อฟัง และขยันหมั่นเพียรในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม จึงอาจกล่าวได้ว่า
เมื่อครูมีความพร้อมจะทำหน้าที่เป็นผู้แจวเรือที่ดีแล้ว นักเรียนก็ควรทำหน้าที่เป็น
ผู้โดยสารเรือที่ดีด้วย เช่น ไม่เอาเท้าราน้ำ และควรช่วยครูพายเรือเพื่อไปสู่จุดหมายได้
อย่างรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น