ข่าวพาดหัวตรวจเยี่ยม

อนุทินลงพื้นที่ติดตามปฏิบัติการ”สิงห์สยบควัน”ของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง

13-07-67 พี่เสือ นักข่าวสงขลา
อนุทินลงพื้นที่ติดตามปฏิบัติการ”สิงห์สยบควัน”ของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองที่บุกทลายบุหรี่เถื่อนและสินค้าผิดกฏหมาย7จุดที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาเมื่อวานยึดของกลางได้มหาศาลย้ำจับคือจับไม่มีการเคลียร์คดี พร้อมลุยปราบสิ่งผิดกฏหมายที่เป็นภัยสังคมทุกประเภท


เมื่อเวลา 14.00น.วันนี้(13ก.ค.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
เพื่อติดตามผลการปฏิบัติการ “สิงห์สยบควัน”ของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ในการบุกทลายบุหรี่เถื่อนและสินค้าผิดกฏหมาย7จุดในพื้นที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวานนี้
พร้อมกับแถลงข่าวสรุปผลการจับกุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครองในพื้นที่ สรรพสามิตภาคที่9 ตำรวจ
โดยปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มต้นมาจาก ผู้ประกอบธุรกิจค้าบุรี่ สุรา ถูกกฎหมายในพื้นที่อ.หาดใหญ่ร้องเรียนมาที่กระทรวงมหาดไทยว่าได้รับความเดือดร้อนจากร้านขายบุหรี่ สุราเถื่อน ที่ขายถูกกว่าราคาตามท้องตลาด ทำให้ผู้ค้าที่ถูกต้องตามกฎหมายค้าขายไม่ได้ และยังทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีปีละหลายพันล้านบาท


จึงได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมการปกครอง ส่งชุดปฏิบัติการพิเศษปกครอง เข้าไปแฝงตัวในพื้นที่นานกว่าครึ่งเดือน จนเห็นความชัดเจนของขบวนการลักลอบสุราเถื่อน และเปิดปฏิบัติการ “สิงห์สยบควัน” ในครั้งนี้
โดยปูพรมกวาดล้างบุหรี่เถื่อนสุราเถื่อนทั่วเมืองหาดใหญ่พร้อมกันทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ กลุ่มเปิดเป็นร้านขายของชำบังหน้า 3 แห่ง โกดังเคลื่อนที่ 2 แห่ง ร้านขนส่งพัสดุเอกชน 1 แห่ง ตึกแถวที่ใช้เป็นจุดพักสินค้า 1 แห่ง
นายอนุทินกล่าวว่า ขบนการนี้ได้ปรับวิธีการขายเพื่อตบตาและหลีกเลี้ยง เจ้าหน้าที่ โดยไม่สต็อกสินค้าเถื่อนไว้ภายในร้านหรือโกดังซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบเดิม
แต่ปรับวิธีการโดยสต๊อกสินค้าเถื่อนในรถยนต์ที่ดัดแปลงเป็นโกดังและสามารถเคลื่อนที่ได้ หรือเรียกว่า”โกดังเคลื่อนที่ ”
นอกจากนี้ยังพบว่า ขบวนการดังกล่าวใช้รูปแบบกองทัพมด อาศัยความมืดในตอนกลางคืนลักลอบขนย้ายสินค้าเถื่อน กระจายสินค้าส่งไปยังหน้าร้านขายของชำทุกวัน หวังหลีกเลี่ยงและลดความเสี่ยงจากการถูกเจ้าหน้าที่ตรวจยึดจับกุม
ส่วนวิธีการจัดส่งสินค้านั้นมีการเปิดร้านขนส่งพัสดุเอกชนบังหน้า จัดพนักงานเข้าเวรกินนอนภายในร้านคอยรับออเดอร์ออนไลน์และแพคสินค้า ซึ่งอาศัยกระบวนการขนส่งพัสดุเอกชนกระจายสินค้าเถื่อนไปยังปลายทางทั่วประเทศอย่างไร้รอยต่อ
ในส่วนผลการจับกุมได้ของกลางจำนวนมหาศาลและต้องใช้เจ้าหน้าที่นตนรวจนับของกลางกันทั้งคืนจนเช้า ได้ผู้ต้องหา 5 คน รถยนต์จำนวน 15 คัน
ที่สำคัญพบของกลางเป็นสุราเถื่อนกว่า 120 ขวด บุหรี่เถื่อนกว่า 4,646,000 มวน หรือกว่า 232,300 ซอง และบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 19,000 ชิ้น รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีกว่า 15 ล้านบาท


ซึ่งในเบื้องต้นได้ตีมูลค่าการตลาดไว้กว่า 35 ล้านบาท และประเมินค่าปรับจากการขายสินค้าหนีภาษีไว้กว่า 315 ล้านบาท ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ. ศุลกากร และพ.ร.บ. สรรพสามิต
นายอนุทิน กล่าวว่าทั้งสุราเถื่อนหรือบุหรี่เถื่อนนอกจากเป็นเถื่่อนแล้วยังเป็นของปลอมด้วย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พร้อมกับย้ำว่าเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาจับคือจับไม่มีการเคลียร์อย่างเด็ดขาดหากมีใครโทรมาเคลียร์ก็ให้ต่อสายมาหาตนได้เลยจะไม่ยอมให้ใครเคลียร์หรือเป่าคดีอย่างเด็ดขาด
นายอนุทิน ยังกล่าวอีกว่า ไม่เฉพาะการปราบปราม บุหรี่เถื่อนเหล้าเถื่อน เท่านั้นจะลุยปราบทั้งยาเสพติดและสิ่งผิดกฏหมายที่เป็นภัยต่อสังคมทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นบ่อนการพนัน การค้าประเวณี สถานบริการสถานบันเทิงที่เปิดอย่างผิดกฏหมายและให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปใช้บริการ
พร้อมกับให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยว่าให้ดำเนินการปราบปรามและจับกุมสิ่งผิดกฏหมายอย่างเต็มที่ไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ


——————————————————
ข้อมูลจำเพาะ
ราคาฐานภาษีโดยประมาณ
สุราเถื่อนกว่า 120 ขวด ราคากลางที่เป็นฐานในการคำนวณภาษีขวดละ 1,500 บาท
ภาษีขวดละ 451 บาท ภาษีที่ต้องเสีย 54,100 บาท
ㆍ บุหรี่เถื่อนกว่า 232,300 ซอง ราคากลางที่เป็นฐานในการคำนวณภาษีซองละ 100 บาท
ภาษีซองละ 62.8 บาท ภาษีที่ต้องเสีย 14,588,440 บาท
รวมทั้งสิ้น 14.642,540 บาท
มูลค่าตลาดโดยประมาณ
สุราเถื่อนกว่า 120 ขวด ขวดละ 1,500 บาท มูลค่าการตลาด 180,000 บาท
บุหรี่เถื่อนกว่า 232,300 ซอง ซองละ 100 บาท มูลค่าการตลาด 23,230,000 บาท
บุหรี่ไฟฟ้ากว่า 19,000 ชิ้น ชิ้นละ 500 บาท มูลค่การตลาด 9,500,000 บาท
รวมทั้งสิ้น 32,910,000 บาท
มูลค่าของค่าปรับสุราและบุหรี่เถื่อน โดยประมาณ
ค่าปรับ พ.ร.บ. ศุลกากร คูณ 4 เท่า ของราคาขาย คิดเป็น 93,640,000 บาท
ㆍค่าปรับ พ.ร.บ. สรรพสามิต คูณ 15 เท่า ของราคาภาษีที่ต้องเสีย คิดเป็น 219,638,100 บาท
รวมทั้งสิ้น 313,278,100 บาท