โอละพ่อ หลังมีตำรวจชั้นผู้น้อยออกมาแฉ นายตำรวจบังคับให้ใส่ร้ายประชาชนเพื่อดำเนินคดียาเสพติด ตรวจสอบแล้วพบพัวพันแก๊งค้ายา
ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา วันที่ 2 ต.ค. 67 ที่ห้องประชุมชั้นสามสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรปราการ พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ นั่งเป็นประธานในการแถลงข่าวผลการสอบสวนในกรณีที่ ส.ต.อ. ในสังกัด สภ.สำโรงใต้ จว.สมุทรปราการ โพสเฟสบุ๊ค และเดินทางเข้าขอความเป็นธรรมกับเพจสายไหมต้องรอด กรณีถูก รอง ผกก. เรียกบังคับให้ถ้อยคำใส่ร้ายประชาชน ยึดมือถือไปตรวจสอบ ขู่จะดำเนินคดีหากไม่เซ็นทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง หวั่นครอบครัวไม่ปลอดภัย เครียดถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย นั้นจนกลายเป็นกระแสสังคม ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่ปรากฏ เพื่อหาข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จากการตรวจสอบมีความเห็นว่า ชุดปฏิบัติการสืบสวนสอบขยายผลคดียาเสพติดรายสำคัญของตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ โดย พันตำรวจเอกชูตระกูล ยศมาดี รองผู้บังคับการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นหัวหน้าชุดทำงานนั้น
พล.ต.ต.วิชิต ระบุว่า จากกรณีดังกล่าวนั้นได้ตั้งคณะกรรมการทั้งหมด 16 ท่าน ได้สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว. ได้ตรวจสอบเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีผู้เกี่ยวข้อง 11 ปาก ผู้ถูกพาดพิง มี 2 ท่านในคดี ยาเสพติดกว่าแปดหมื่นเม็ด มีการเรียกมาให้ถ้อยคำ มีการสอบด้วยความสมัครใจ ได้ยืนยันชัดเจนว่าไม่มีการบังคับขู่เข็ญหรือใส่ร้ายใคร การสอบปากคำเป็นไปด้วยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องอาจจะมีส่วนผิดวินัยและผิดอาญา ทั้งนี้ชุดสอบสวนมีการบันทึกวิดีโอในการเข้าตรวจค้น ทุกอย่าง ทั้งหมดมีการตั้งคณะกรรมการถูกต้องตามกฎหมายและผู้ถูกร้องก็ทำถูกต้องตามขั้นตอน ผู้ร้องก็มีความผิดทางอาญา
สาเหตุที่ผู้ร้องไปร้องเพราะเกิดความกังวล จึงเอาเรื่องไปปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็มีประวัติ จึงได้แนะนำให้ไปร้องสื่อ ซึ่งไม่ได้ร้องผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้น ในส่วนนี้ผิดขั้นตอน ในส่วนที่มีการกล่าวอ้างถึงประชาชนบริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้าย ทั้ง 5 คน จากการตรวจสอบของคระกรรมการ พบว่าทั้ง 5 คนนั้น คือผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและถูกออกหมายจับก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนั้น ส.ต.อ. รายนี้ ได้มีการตรวจสอบข้อมูล จากระบบสารสนเทศสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 2 รายจากทั้งหมด 5 รายนี้ น่าเชื่อว่าอาจเป็นเหตุให้ ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้ง 2 ราย ไหวตัวและหลบหนีไป ซึ่งถือว่าตัวผู้ร้องมีส่วนในการนำข้อมูลของทางราชการไปเผยแพร่ให้กับผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ ซึ่งพบหลักฐานการสนทนาข้อความแชททาง แอพพลิเคชั่น ไลน์ ในเครื่องโทรศัพท์ของ สิบตำรวจเอก รายนี้
ส่วนประเด็นที่สิบตำรวจเอกรายนี้ไปร้องเรียนผู้บังคับบัญชาและนำข้อความลงซื่อโซเชียล ซึ่งตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง ตามที่ลงข้อความดังกล่าว ทำให้ชื่อเสียงหน่วยงานราชการเสียหาย และประเด็นที่นำข้อมูลซึ่งเป็นความลับของทางราชการไปบอกกล่าวกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดนั้น เห็นว่าอาจมีมูลการกระทำความผิดทางวินัย และส่อที่จะมีมูลความผิดทางอาญาอีกส่วนหนึ่งด้วย ในชั้นนี้เห็นควร พิจารณาดำเนินการตาม กฎตำรวจ ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริงพ.ศ.๒๕๕๖ ต่อไป เพื่อความเป็นธรรมแก่ผุ้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ฉะนั้น จากการรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว เชื่อได้ว่า ไม่มีการบังคับ ข่มขู่ ผู้ร้อง ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมาแต่อย่างใด
ขณะที่ ล่าสุดทางด้านผู้ร้องเกิดอาการเครียด ทางผกก. สภ.สำโรงใต้ ก็ดูอาการอย่างใกล้ชิด ตอนนี้มีการส่งตัวไปตรวจที่รพ.ตำรวจแล้ว (จากผลตรวจป่วยเป็นโรคซึมเศร้า)
ทั้งนี้ตนเองในฐานะผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ยืนยันจะเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดให้อย่างเด็ดขาดและต้องขยายผลผู้ร่วมขบวนการทุกราย เช่นกันหากพบสิบตำรวจเอกรายนี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดก็จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดเช่นกัน
*********************************
สุรศักดิ์ คงสินธ์ / ธนวัต นาคขำ จ.สมุทรปราการ