กกท. ปลื้มผลงานกีฬาไทยปี 2567
เปิดแผนปี 2568 ขับเคลื่อนกีฬาเพื่อความเป็นเลิศครบวงจร
กกท. โชว์ผลงานยกระดับวงการกีฬาไทยปี 2567 เผยแผนปี 2568 เดินหน้าส่งเสริมกีฬา เพื่อความเป็นเลิศอย่างเป็นระบบครบวงจร หนุนวิทยาศาสตร์การกีฬาเพิ่มศักยภาพนักกีฬา พัฒนาระบบบริหารจัดการกีฬาอาชีพและกีฬามวย จัดกิจกรรมแข่งกีฬาสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ ประกาศความพร้อมไทยเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า กกท. เป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมกิจการกีฬาของประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ ซึ่งโดยภาพรวมปี 2567 วงการกีฬาไทยขยับอันดับขึ้นสู่การแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ สามารถคว้าชัยชนะและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย โดยเฉพาะการพัฒนานักกีฬาทีมชาติหน้าใหม่และประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับโลก นอกจากนี้ ยังผลักดันโครงการยกระดับการให้บริการของ กกท. (Smart National Sport Park) ให้เป็นสนามกีฬาที่มีเทคโนโลยีทันสมัย การส่งเสริมและยกระดับกีฬามวยไทยตามนโยบาย Soft Power การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ตลอดจนจัดกิจกรรมส่งเสริมประชาชนเล่นกีฬาและออกกำลังกาย ด้วยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
“การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส มีนักกีฬาจากกว่า 200 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ในส่วนของประเทศไทยส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน 51 คน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งด้านชนิดกีฬาและนักกีฬา โดยจำนวน 37 คนเป็นนักกีฬาหน้าใหม่ ซึ่งประเทศไทยได้ 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง รวม 6 เหรียญรางวัล เป็นอันดับที่ 12 ของเอเชีย เช่นเดียวกับพาราลิมปิกเกมส์ 2024 มีนักกีฬาจาก 184 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งประเทศไทยส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน 79 คน มากที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน ซึ่งประเทศไทย ได้ 6 เหรียญทอง 11 เหรียญเงิน 13 เหรียญทองแดง รวม 30 เหรียญรางวัล เป็นอันดันดับที่ 6 ของเอเชีย โดย ‘สายสุนี จ๊ะนะ’ นักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบ สร้างประวัติศาสตร์นักกีฬาคนแรกของโลกที่คว้า 3 เหรียญทองวีลแชร์ฟันดาบ ทั้งในประเภทเซเบอร์หญิง, ฟอยล์หญิง และเอเป้หญิง นอกจากนี้ ยังได้ 1 เหรียญทองแดง ในประเภทเอเป้ทีมหญิงอีกด้วย” ผู้ว่าการ กกท. กล่าว
ดร.ก้องศักด กล่าวว่า สำหรับในปี 2568 กกท. จะดำเนินการต่าง ๆ ตามแผนวิสาหกิจการกีฬาแห่งประเทศไทย 2568-2572 ที่ได้กำหนดวิสัยทัศน์ “พัฒนาการกีฬาให้ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติและบริหารจัดการองค์กรอย่างมีมาตรฐาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศอย่างยั่งยืน” ซึ่งมีกิจกรรมสำคัญ อาทิ สนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ ได้แก่ การจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ กีฬาเยาวชนแห่งชาติ กีฬาคนพิการแห่งชาติ และกีฬาอาวุโสแห่งชาติ การเตรียมและส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ เช่น เอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน เวิลด์เกมส์ ครั้งที่ 12 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน เอเชียนยูธเกมส์ ครั้งที่ 4 ณ สาธาณรัฐอุซเบกิสถาน และเอเชียนอินดอร์และมาร์เชียลอาตส์เกมส์ 2025 ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น
นอกจากนี้ กกท. จะเดินหน้าสนับสนุนการจัดกิจกรรมและการแข่งขันกีฬาทุกระดับเพื่อสร้างมูลค่า
ทางเศรษฐกิจ ทั้งการจัดการแข่งขันกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ กีฬาอาชีพและกีฬามวย กีฬาเพื่อการท่องเที่ยวและนันทนาการ (Sports Tourism) ส่งเสริมการนำแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม (BCG Model) มาใช้ในการจัดกิจกรรมกีฬา โดยรายการสำคัญระดับโลก เช่น การแข่งขันรถจักรยานยนต์ MOTO GP การแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB พัฒนานักกีฬา บุคลากรกีฬาอาชีพและกีฬามวย รวมทั้ง พัฒนาการบริการทางการกีฬา สนับสนุนกิจกรรมการเล่นกีฬาและออกกำลังกายของประชาชนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และอีกหนึ่งแผนงานสำคัญคือ การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ ได้แก่ ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก (FIVB Woman’s World Championship 2025) ซึ่งจะสร้างชื่อเสียง เผยแพร่เอกลักษณ์ และสร้างรายได้ให้ประเทศไทย
“ในปี 2568 กกท. ยังคงให้ความสำคัญในการส่งเสริมกีฬาเพื่อความเป็นเลิศอย่างเป็นระบบครบวงจร มุ่งเน้นการนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้ในการพัฒนานักกีฬาและบุคลากรทางการกีฬาให้มีศักยภาพในระดับนานาชาติและต่อยอดสู่กีฬาอาชีพ การพัฒนาระบบบริหารจัดการองค์กรในรูปแบบสมาร์ทออฟฟิศ และที่สำคัญคือ การที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แสดงศักยภาพความพร้อมด้านการจัดแข่งขัน และเป็นการประชาสัมพันธ์ให้นานาประเทศรู้จักประเทศไทยมากขึ้นอีกด้วย” ผู้ว่าการ กกท. กล่าว